วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไอครีมโคนคัพเค้ก ice cream cone cupcakes.







อันนี้ขอบอกว่า ได้สูตรจากบล็อกดี ๆ บล็อกนี้เลยค่ะ ลองกดไปเยี่ยมชมดูเนอะ เค้าใจดีค่ะ มีสูตรพร้อมภาพประกอบด้วย ทำง่ายม๊าก มาก ลองทำดู

คัพเค้กแต่งหน้าแบบต่าง ๆ cupcakes















สวยมั้ย ทำไมยากค่ะ สวยไม่สวยอยู่ที่การตกแต่ง เค้กนี้ใช้สูตรเค้กชิฟฟ่อนวนิลาเพราะว่าทำง่ายค่ะ ใช้เวลาน้อย นุ่มดีด้วย
แล้วก็แต่งหน้าตามใจชอบเลย
หลัง ๆชักขี้เกียจลงสูตร ไม่ได้หวงนะคะ แต่ว่าไม่มีเวลาอ่ะค่ะ อีกอย่างไม่ค่อยทำขนมอย่างอื่นเท่าไหร่ เลยยังไม่มีอะไรใหม่ แค่ดัดแปลงสูตรเดิม ๆมาทำให้ดูหน้าตาแตกต่างไปเท่านั้นค่ะ ยังไงก็บอกไปแล้วเนอะ ว่าใช้เนื้อเค้กแบบไหน หาได้ในบล็อกเล้ยค่า...




มีภาพเค้กมาฝากอีกแล้ว



วันนี้ได้ออเดอร์ เพิ่งส่งไปสด ๆร้อนค่ะ เค้กนี้ใช้สูตร ชิฟฟ่อนวนิลา แต่ลดแป้งเหลือแค่ 100 g ลดน้ำมันเหลือ 1/4 แล้วเพิ่มไข่อีก1 ฟองค่ะ นุ่มดีเหมาะสำหรับทำเค้ก 8 นิ้ว

จากนั้นแต่งหน้าด้วยครีมสด ตกแต่งด้วยผลไม้ กับช็อกโกแลตแต่งหน้าเค้ก ส่วนวิธีทำช็อกโกแลตแต่งหน้าเค้กพร้อมวีดีโอ ให้ดูที่นี่ค่ะ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มีเค้กมาอวดอีกแล้ว

วันนี้เอาภาพไปอย่างเดียวเนอะ ไว้เป็นไอเดียแต่งหน้าเค้ก พอดีได้ออเดอร์ลูกค้าเพิ่งมารับไปสด ๆร้อน ๆเลยค่า...









วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขนมปังไส้เนื้อสับ




เมื่อวานวันพฤหัส น้องชายของแฟนเค้าจัดงานขึ้นบ้านใหม่ ก็คิดอะไรไม่ออก เบื่อทำของหวานน่ะค่ะ ก็เลยทำขนมปังไส้เนื้อ ไว้ทานเป็นของว่างทานกับน้ำชา กาแฟ
วิธีทำไส้เนื้อ
ชี้แจงนิดนึงว่า เป็นสูตรเฉพาะตัวนะค่ะแบบธรรมดา ๆ ทำง่ายและอร่อยดีด้วย ไม่ได้บอกปริมาณนะค่ะ เพราะว่า อยู่ที่ว่าต้องการทำมากทำน้อย ส่วนตัวก็ไม่ได้กะเหมือนกัน ไส้เหลือ ก็นำมาทานกับข้าวได้กำไรไปอีกอย่าง
เนื้อบด
กระเทียม ดิฉันชอบใส่เยอะค่ะ คือถ้าบดแล้วจะได้ซักหนึ่งช้อนโต๊ะกับอีกนิดหน่อย
ขิงสับละเอียด ครึ่งช้อนโต๊ะโดยประมาณ
พริกชี้ฟ้าแดง แล้วแต่ว่าชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อย
น้ำปลา หรือ เกลือ ชอบรสเค็มก็ไส่มากหน่อย
พริกไทยดำป่น ซักครึ่งช้อนชา
ผักชี ซักหนึ่งช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมตัวแป้ง
นม 170 ml
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำตาล 65 กรัม
เกลือ 1/4 ช้อนชา
แป้งขนมปัง 330 กรัม กับอีกนิดหน่อยไว้สำหรับเป็นแป้งนวล
เนยสดนิ่ม 75
วิธีทำ
1. ผสมยีสต์ น้ำตาล เข้าด้วยกัน
2. อุ่นนมในไม่โครเวฟ หรือตั้งไฟ ไม่ถึงกับร้อนนะค่ะ พออุ่น ๆเพื่อให้ยีสต์ทำปฏิกริยาได้ดีขึ้น แล้วเทลงในส่วนผสมของยีสต์กับน้ำตาล
3. เติมไข่ไก่ลงไปแล้วตีพอเข้ากัน
4. ผสมแป้งกับเกลือเข้าด้วยกัน
5. นำส่วนผสมของเหลงเทลงในแป้ง แล้วนวดให้เข้ากันจนจับตัวเป็นก้อนแล้วแป้งซักน้ำทั่ว
6. นวดไปซักพักแล้วเติมเนยสด แล้วนวดไปเรื่อย ๆจนแป้งยึดหยุ่น ขั้นตอนนี้จะรู้สึกว่ามันแฉะ ให้เติมแป้งนวดทีละน้อย แล้วนวดอย่าใส่มากจนเกินไปนะค่ะจะทำให้แห้ง นวดจนยืดหยุ่นดีไม่ติดมือ
7. พักไว้จนขึ้นฟูเป็นสองเท่าตัว ดิฉันทิ้งไว้ค้างคืนเลยค่ะ เพราะอากาศที่นี่เย็น ใครใจร้อนก็ เปิดเตาอบพอร้อน แล้วปิดไฟ แล้วจึงนำแป้งไปพักไว้ข้างใน แป้งจะขึ้นเร็วค่ะ แต่อย่าให้ร้อนมากนะค่ะ เพราะก้อนแป้งจะแห้งกระด้าง
8. พอขึ้นเป็นสองเท่าตัวแล้วนำมา ต่อยให้แฟบนวดซักห้านาที แล้วแบ่งแป้งออกเป็นก้อน ๆนำมาใส่ไส้ ห่อเก็บให้มิด แล้วพักไว้ให้ขึ้นเป็นสองเท่าตัวอีกครั้ง
9. พอได้ที่ นำมาทาด้วยไข่ไก่ที่ผสมน้ำเล็กน้อย โรยหน้าด้วยงาดำหรือป๊อบปี้ซีด เพิ่มความสวยงาม แล้วอบที่อุณหภูมิ 190 องศา c จน สุกจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลทั่ว
ดูเหมือนจะงง ๆหน่อยแต่ทำไม่ยากค่ะ ลงดูเนอะ ดิฉันชอบนวดแป้งไว้ตอนกลางคืน เช้ามาก็อบได้ ได้ทานสด ๆเป็นอาหารเช้า อร๊อย อร่อย..

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มีไอเดียแต่งหน้าเค้กมาฝากค่า...




ไม่มีอะไรใหม่หรอกค่ะ เพียงแต่วันนี้ทำเค้กส่งร้านอาหารเพื่อน พอดีทางร้านมีลูกค้าสั่งอาหารเพื่อจัดเลี้ยงวันเกิด ก็เลยแถมเค้กฟรี เค้าสั่งเยอะน่ะค่ะ เป็นโปรโมชั่นช่วงนี้ ดิฉันก็ได้รับผลพลอยได้ไปด้วย
ก็เดิม ๆค่ะ เพราะไม่ต้องการให้ต้นทุนสูง มีอะไรอยู่ก็ใช้ตกแต่งเข้าไป
วันนี้นำภาพมาฝากเพื่อนๆ เผื่อเป็นไอเดียในการแต่งหน้าเค้ก
สูตรตัวเค้ก ก็เป็น วนิลาชิฟฟ่อน ใครอยากได้ตัวเค้กที่นิ่มกว่านี้ก็ลดแป้งลงนะคะ ให้เหลือซัก 1 ถ้วย เคยลดแป้งลงเหลือถ้วยเดียว เนื้อเค้กนุ่มมาก ๆ สูตรที่ให้ไว้นั้นจะได้เนื้อเค้กที่มีน้ำหนัก แต่ก็ไม่แข็งนะค่ะนุ่มดีเหมือนกัน จากนั้นก็ตกแต่งด้วยครีมสด กับส้มแล้วช็อกโกแลต ก็พยายามหาอะไรที่ไม่ต้องซื้อใหม่น่ะค่ะเพราะจะได้ลดต้นทุน ฮิๆ


ขนมปังซาลามี (salami bread)




พักหลัง ๆนี่ไม่ค่อยจะอัปเดทเรื่องอื่นซักเท่าไหร่เลยค่ะ มัวแต่บ้าทำอาหาร วันหลังจะนำสาระเรื่องอื่น ๆดี ๆมาฝากแล้วกันนะค่ะ ว่าแล้ววันนี้ก็ขอบ้าทำอาหารต่อ มีสูตรมาฝากอีกแล้วค่ะ สูตรขนมปังใส่ซาลามีไก่ ประมาณ ไก่ยอบ้านเราน่ะค่ะ แต่ว่ารสชาติเหมือนไส้กรอก ออกแรงกันหน่อยแล้วกัน เพราะต้องนวดนานหน่อยค่ะ อ้อ ! เกือบลืมโปรดอ่านปัญหาที่พบด้วยนะค่ะ เดี๋ยวปฏิบัติตามแล้วไม่ได้ผลดีห้ามว่ากันน้า.. ว่าแล้วก็มาดูสูตรกันเลย

ยีสต์ 7g
นม 170 ml
น้ำตาล 65g
เกลือ ¼ teaspoon
เนยจืด นิ่ม 75g
ไข่ (หนักประมาณ 50g)
1 แป้งขนมปัง 330g
ซาลามีหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ไข่ไก่ ผสมกับน้ำ เล็กน้อย ไว้ทาหน้าขนมปัง

วิธีทำ
1. เตรียมพิมพ์แบบหลุม หรือพิมพ์คัพเค้ก
2. ผสมนมกับไข่ เข้าด้วยกัน
3. ผสมส่วนผสมแห้งทั้งหมด มี แป้ง, เกลือ, ยีสต์,น้ำตาล คลุกให้เข้ากันอย่างดี
4. เทส่วนผสมนำนมลงไปตรงกลางแป้ง แล้วนวดจนจับตัวเป็นก้อนซับน้ำทั่ว
5. จากนั้นใส่เนยลงไป แล้วนวดไปเรื่อย ๆ จนนวลและยืดหยุ่น ให้เชคด้วยการดึงแป้งยืดออกบนฝ่ามือ แล้วแป้งจะไม่ขาด หรือว่าให้กำแป้งนับหนึ่งถึงสิบค่ะ แป้งจะไม่ติดมือ ก็เป็นอันใช้ได้
6. ทิ้งไว้จนขึ้นเป็นสองเท่าตัว อาจจะนานขึ้นอยู่กับสภาพอากาศค่ะ ถ้าร้อนมากก็เร็วหน่อย
7. พอขึ้นฟูได้ที่ก็นำมาต่อย ตุ๊บตั๊บ ไล่ฟองอากาศ แล้วก็นวดต่ออีกซัก 5 นาที แล้วนำมาคลึงบนพื้นเรียบแผ่ให้เป็นแผ่น ไม่ต้องบางมากนะค่ะ พอจะหนา ๆหน่อยประมาณ ทาด้วยมายองเนส แล้วโรยด้วยซาลามีที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆเรียบร้อยแล้ว ให้ทั่ว แล้วม้วนค่ะ ม้วนให้เป็นแท่งยาว ๆ
8. จากนั้นนำมาตัดเป็นแว่น ๆหนาประมาณ นิ้วครึ่ง แล้ววางลงไปในพิมพ์
9. ทิ้งไว้อีกจนขึ้นอีกเท่าตัว
10. เปิดเตาอบ 190 c พอแป้งขึ้นได้ที่ ทาหน้าด้วยไข่ไก่ที่ผสมน้ำเล็กน้อย และจึงนำเข้าอบ อบจนเหลืองสวยค่ะ

แนะนำวิธีการนวดแป้งค่ะ
ใช้อุ้งมือดันแป้งไปด้านหน้า แล้วม้วนกลับ แล้วดันด้วยอุ้งมือไปข้างหน้า นวดแบบเดิมติดต่อกันเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ประมาณ 10-15 นาที

ปัญหาที่พบในการปฏิบัติตามสูตร
ครั้งที่ 1 ดิฉันลองทำตามสูตรเป๊ะ ปรากฎว่าหลังจากใส่เนยลงไปแล้วมันแฉะมาก ก็เลยนวดต่อไปเรื่อย ๆคิดว่าคงจะดีขึ้น ไม่ค่ะเฉะติดมือหนึบไปหมด จนต้องค่อย ๆเติมแป้งลงไปทีละน้อย ก็เป็นอันว่าใช้ได้ไม่ได้เติมมากนะค่ะ เติมเข้าไปทีละน้อยนวดแล้วเติมจนแป้งไม่ติดมือ ปัญหานี้อาจจะเกิดจากตราชั่งก็เป็นได้ค่ะ ผลลัทธ์คือ ขนมปังมีเนื้อดีใช้ได้เลยค่ะ คืออยู่ในระดับที่พอใจ

ครั้งที่ 2 คือได้ออกมาตามรูปภาพ
ดิฉันผสม นม ยีสต์ น้ำตาล แล้วคนจนยีสต์ละลายเข้ากับนมแล้วจึงเติมไข่ ทีนี้ดิฉันไม่ได้ชั่งแป้งแล้วค่ะ ค่อย ๆเติมแป้งเข้าไปจนพอจับตัวรวมกันเป็นก้อน แล้วก็เติมเนย แล้วนวดจนเนียน ครั้งนี้นวดนานหน่อย ปกติไม่ได้จับเวลาน่ะค่ะ แต่รู้สึกว่านวดจนเพลินจนยืดหยุ่นดีมาก ๆและเนียน ทีนี้ได้ขนมปังนิ่มและนุ่มเหนียวดีค่ะ พอใจมากกว่าครั้งแรก

ใครต้องการเปลี่ยนจากซาลามีเป็นไก่หยองเนื้อหยองแล้วราดหน้าด้วยมายองเนสหน่อยก็อร่อยดีค่ะ

ใช้ดัดแปลงทำขนมปังได้หลายอย่าง หรืออาจจะใส่ไส้กรอก ไส้ถั่วดำ ถั่วแดง เผือก หรืออะไรก็ได้ตามชอบ ทำเป็นขนมปังบันก็อร่อยดีค่ะ เพราะว่าจะออกหวาน ๆเล็กน้อย
ลองดูเนอะ..

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มันรังนก






ไปเดินหาซื้อของเข้าบ้าน ก็ไปเจอมันเทศ อยากทานขนมไข่นกกระทา ก็ซื้อมาตั้งใจจะทำ ถึงเวลาจริง ๆไปเห็นภาพขนมมันรังนกบนเน็ตเลย คิดว่าอืมมมม... อยากทานมั่ง เปลี่ยนใจกระทันหันเลยค่ะ ทำมันรังนกทานซะงั้น แถมยังมีติดไม้ติดมือไปฝากญาติด้วย

ใครอยากลองทำทานไม่ยากค่ะ ตามนี้เลย แต่จะบอกว่าสูตรนี้เป็นสูตรสำหรับคนไกลบ้าน วัตถุดิบส่วนผสมอาจจะไม่ตรงตามต้นตำรับซักเท่าไหร่แต่อร่อยใช้ได้เลยค่ะสูตรนี้ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่นำคะ เพราะว่าไม่ได้บอกส่วนผสมตายตัว แต่ใครสามารถก็ลองทำดูก็ได้นะไม่ยาก ส่วนตัวดิฉันก็ทำครั้งแรกเหมือนกันตามสูตร

ส่วนผสม
มันเทศจำนวนตามต้องการเลยค่ะ ดิฉันใช้ 2 หัวค่ะ
น้ำมันสำหรับทอดมัน
น้ำเชื่อม (Litgt Corn Syrub) ตอนใส่ไม่ได้นับด้วยว่าใส่ลงไปเท่าไหร่น่ะซิลองดูคำแนะนำในวิธีทำนะค่ะ
เกลือ หยิบมือ
เนย ซัก 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเล็กน้อย
ต้องขออภัยด้วยค่ะที่ไม่ได้มีส่วนผสมที่ตายตัว เพราะว่าดิฉันส่วนมากจะทำขนมแบบกะ ๆเอา แต่จะมีคำแนะนำในวิธีทำอ่านต่อนะ
วิธีทำ
1. นำมันเทศมาขูดเป็นเส้นยาว ๆ
2. นำไปทอดในน้ำมันค่อนข้างเยอะนะค่ะ ทอดจนเหลืองสวย นำมาพักไว้จนสะเด็ดน้ำมัน
3. จากนั้นมาทำส่วนของน้ำตาลที่จะคลุกกับมัน ก่อนอึ่นต้องดูว่าเราใช้มันเยอะแค่ไหน น้ำเชื่อมที่จะนำมาคลุก ต้องกะพอที่จะคลุกขนมทั่ว ไม่มากไม่น้อยเกินไป อย่าให้ช่ำเกินไปเพราะเวลาแห้งมันจะแข็งและทำให้หวานมากเกินไป กะปริมาณพอจะคลุกขนมได้ทั่วๆ น่ะค่ะไม่ต้องถึงขนาดชุ่ม เอาพอมีน้ำตาลติดทั่วๆมันที่ทอดแล้วน่ะค่ะ
4. เติมน้ำเล็กน้อย น้ำเชื่อม และเกลือ คนให้เข้ากัน ตั้งไฟจนสีน้ำเชื่อมเข้มขึ้นเล็กน้อย จะเดือดเป็นฟองฟ๊อด แล้วใส่เนยซักประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ดิฉินชอบเพราะทำให้มีกลิ่นหอม ตังไฟจน ลักษณะของน้ำเชื่อมที่จะคลุกจะเริ่มหนึดๆแต่ไม่ถึงกับเหนียว ต้องระวังหน่อยนะค่ะ เพราะว่า เวลาที่เราคลุกแล้วพอเย็นมันจะแข็งขึ้นอีก แล้วนำมันที่ทอดแล้วลงไปคลุกเร็ว ๆให้ทั่ว แล้วยกลง
5. ยกลงจากเตาแล้วแบ่งเป็นคำ ๆลักษณะคล้ายรังนก ทิ้งไว้จนเย็น จะแข็งจับตัวกัน
ข้อแนะนำ
1. ถ้าใครมีน้ำตาลปี๊บก็ควรใช้น้ำตาลปี๊บค่ะ เพราะว่าเวลาใช้ไซรับเนี่ย ความเห็นส่วนตัวคือมันจะเหนียวเวลาทานติดฟันเหมือนทานทอฟฟี่
2. สูตรที่ให้จะได้รสคาราเมลบัตเตอร์ค่ะ
3. ให้สูตรไว้เป็นไอเดียค่ะ สำหรับคนที่เคยทำแล้วจะพอกะถูก แต่สำหรับมือใหม่ แนะนำให้ลองหาสูตรที่บอก4. ส่วนผสมตายตัวแล้วจะง่ายกว่าค่ะ
ใครที่ชอบให้มีกลิ่นก็เติมกลิ่นสตอเบอรี่ ช็อกโกแลต กล้วยหอม หรืออะไรก็ได้ตามชอบเลยค่ะ

ขนมอาลัว





นอนไม่หลับอ่ะค่ะ ตื่นปุ๊บเปิดเน็ตปั๊บ ว่าแล้วก็คิดถึงบล็อกไม่ได้อัปเดทหลายวัน วันนี้เลยนำสูตรขนมอาลัวที่ดองไว้มานานว่าจะนำมาลงหลายครั้งก็ลืมทุกที ใครสนใจทำตามนี้เลยค่ะ ได้สูตรนี้จากอินเตอร์เน็ต จำไม่ได้ค่ะว่าของใคร ยังไงขอบคุณท่านอาจารย์ผู้สอนด้วยแล้วกันนะค่ะ ทำตามสูตรนี้ออกมาได้ภาพข้างบนนี้เลยจ้า

ว่าแล้วก็มาดูสูตรกัน
ส่วนผสม
แป้งสาลี 10 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1, 1/4 ถ้วย
หัวกะทิ 1 1/4 ถ้วย
สีทำขนมตามชอบเลยค่ะ

วิธีทำ
1.ผสมแป้ง น้ำตาลทรายและหัวกะทิ คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย ตามสูตรบอกให้กรองด้วยผ้าขาวบาง แต่ว่า ไม่มีผ้าขาวบางนะค่ะ เลยไม่ได้กรอง
2.ยกส่วนผสมขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน กวนไปเรื่อยๆ อย่าหยุด กวนจนแป้งสุก จะมีลักษณะใสไม่ขุ่น จากนั้นก็แบ่งแป้งเป็นส่วนๆ และใส่สีตามชอบ ใส่สีให้เข้มๆนิดนึงค่ะ ก็ได้ค่ะ เวลาโดนแดดแล้วสีขนมจะอ่อนลง
3. พักแป้งที่กวนสุกแล้วให้อุ่นๆ แล้วรองถาดด้วยใบตอง หรืออะไรก็ได้ค่ะที่ไม่ให้ขนมติด ส่วนตัวพลาดไปใช้กระดาษรองเค้ก ติดหนึบเลยแกยากมากเวลาอบเสร็จ จากนั้นหยอดลงบนถาด ที่แต่งหน้าเค้กหยอดเป็นอันเล็กๆ พอเสร็จ ตามสูตรบอกให้นำไปตากแดด ที่นี่ไม่มีแดดเท่าไหร่ค่ะ อยู่ไกลบ้าน เลยนำไปอบ ไปอ่อนๆ บอกไม่ถูกอ่ะค่ะ เพราะว่าจอมมั่วนิ่มเหมือนกัน ตามสูตรเค้าบอกให้อบไฟอ่อน ๆไม่บอกว่ากี่องศา ก็เลยมั่วไปเรื่อย อบ 60 องศาเซลเซียสบ้าง เดี๋ยว ๆก็ปรับเป็น 100 แล้วก็ปรับลดปรับเพิ่มอยู่อย่างเนี่ยน่ะค่ะ จนขนมแห้งข้างนอก แต่ข้างในนุ่ม ก็เปิดเตาเชคอยู่เรื่อยเหมือนกันค่ะ พอผิวขนมเริ่มกรอบก็นำออกมาผึ่งข้างนอกซักพัก ก็จะเป็นอย่างภาพที่เห็นหล่ะค่ะ
ปัญหาที่พบใครจะทำตามต้องระวังหน่อยนะค่ะ
1. เวลาหยอดยากเหมือนกัน คืออาจจะเป็นปกติ แต่ว่านี่ทำครั้งแรกก็เลยรู้สึกว่ายากน่ะค่ะเพราะแป้งมันหนึด
2. ตามสูตรเค้าบอกว่าให้รองด้วยใบตองไม่มีใบตองก็เลยนำกระดาษไขที่อบเค้กไปรอง ติดหนึบเลยแกะยากมากๆ บางทีก็ติดกระดาษออกมาด้วย จะเห็นว่าในภาพที่ก้นขนมไม่เรียบเพราะตอนแซะนั่นแหละค่ะอย่างที่บอกว่ามันติด ทีนี้ใครจะทำต้องระวังหน่อยนะค่ะ ยังไม่ลองหาวิธีอื่นที่จะไม่ให้ติดก้น เดี๋ยวคราวหน้าถ้าทำจะลองใช้แผ่น เบคกิ้งชีท เป็นแผ่นไฟเบอร์ไว้รองทอดหรืออบน่ะค่ะ ทำให้ขนมหรืออาหารไม่ติดพื้น ได้ผลยังไงจะมาบอกให้นะค่ะ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

มัฟฟินกล้วยหอม

หลังจากที่ห่างหายจากการอัปเดทไปหลายวัน นึกไม่ออกน่ะค่ะว่าจะนำเสนอเรื่องอะไรดี พอดีวันนี้ว่างๆหันไปเห็นกล้วยหอมในครัวเริ่มเปลี่ยนสี กลัวจะเน่าซะก่อน เลยนำมาทำมัฟฟินซะเลย แต่ขอบอกว่า กล้วยหอมที่กำลังสุกงอมมาก ๆ เนี่ยเหมาะที่สุดเลยสำหรับการทำ มัฟฟินหรือเค้กกล้วยหอม วันนี้ก็เลยมีภาพ และสูตรมัฟฟินกล้วยหอมมาฝากกัน






ส่วนผสม
แป้งอเนกประสงค์ 1 3/4 ถ้วย (245 g)
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย (100 g)
น้ำตาลทรายแดง 1/4 cup (50 g)
ผงฟู 1 ช้อนชา
เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1/4 ช้อนชา
ไวท์ช็อกโกแลต หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 2 ออนซ์ (65 g)
ไข่ไก่ ใบใหญ่ 2 ฟอง ตีพอแตก
เนยละลาย หรือมาการีน 8 ช้อนโต๊ะ (113 g)
กล้อยหอมสุกบดละเอียด 3 ผล (ประมาณ 1 ปอนด์ หรือ 454 gหรือประมาณ 1 -1/2 ถ้วย
กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
กล้วยหอมฝานเป็นชิ้นไว้แต่งหน้าเล็กน้อย

วิธีทำ
1. เตรียมเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส และพิมพ์ถาด้วยน้ำมันหรือเนย
2. ผสม แป้ง น้ำตาลทรายแดง,น้ำตาลทราย,ผงฟู ,เบคกิ้งโซดา เกลือ และไวท์ช็อกโกแลต ให้เข้ากันแล้วพักไว้
3. ผสม กล้วยหอมบดละเอียด,เนยละลาย,ไข่ไก่ที่ตีแล้วพอแตก, กลิ่นวนิลา ให้เข้ากัน ระวังอย่าคนมากเกินไป ผสมพอเข้ากัน
4. นำส่วนผสมทั้งสองมาผสมให้เข้ากัน ใช้พายยาตะล่อมให้พอเข้ากัน อย่าคนมากจนเกินไปจะทำให้เหนียวค่ะ
5. ตักใส่พิมพ์ แต่งหน้าโดยการฝานกล้วยเป็นแผ่น แล้ววางไปบนหน้ามัฟฟินค่ะ จากนั้นนำเข้าเตาอบจนสุกค่ะ ไม่ได้ดูเวลาค่ะว่าประมาณกี่นาที นั่งเล่นเน็ตเพลินไปหน่อย หันไปดูก็สุกพอดี
ทำง่ายมาก ๆ ไว้ทานกับน้ำชากาแฟ บ่าย ๆ ก็เข้ากั้นเข้ากันค่ะ ...
ใครอ่านบล็อกดิฉันแล้วเจออะไรที่น่าทาน แต่ไม่มีสูตร ถ้าสนใจอยากทำเขียนมาถามได้นะค่ะ บางทีก็ลืม ๆน่ะค่ะ พอกไว้ซะเยอะ กะว่าวันหลังค่อยลงสูตร ผลัดไปเรื่อยจนลืมไปเลย ฮิๆ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

สุขสันต์วันอีดค่า...

เนื่องจากวันนี้ที่อังกฤษได้ประกาศให้วันที่ 20 กันยายน 2009 เป็น วันอีด นั่นหมายถึงหมดฤดูการถือศีลอดแล้วล่ะค่ะ ตามปกติตอนอยู่เมืองไทยก็จะเตรียมชุดใหม่สวย ๆแล้วก็ ทำขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้สำหรับแขกที่จะมาเที่ยวที่บ้านในวันอีด หรือเตรียมไว้สำหรับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่น่ะค่ะ

ตอนนี้มาอยู่ไกลบ้าน ธรรมเนียมของทางคุณสามี เค้าจะไปรวมกันที่บ้านพี่คนโต หรือญาติผู้ใหญ่แล้วแต่ว่าใครจะเชิญน่ะค่ะ ปีนี้เราได้รับเชิญให้ไปรวมกันที่เมือง Kent ก็เกือบ ๆถึงลอนดอน ขับรถประมาณไม่ถึงชั่วโมงจากเมืองที่เราอยู่ แต่ละบ้านก็จะเตรียมขนมหรือของว่าง ๆ ติดไม้ติดมือไปด้วย

ดิฉันเลือกทำขนมหวานค่ะเพราะว่า แน่ใจว่าพี่ ๆเค้าคงทำพวกของว่างกัน พวกทอด ๆ น่ะค่ะ เลยคิดว่าเดี๋ยวไปตีกันแย่เลย ก็เลยทำให้ต่างไป เปิดตัวขนมไทยซะเลยค่ะ วันนี้ทำหลายอย่างด้วย และนี่ก็เป็นเหตุให้อดใจไม่ไหวที่จะนำมาให้เพื่อน ๆได้ดูกัน นี่เลย ...งามมะ





ลูกชุบ

ขนมถั่วกวน

วุ้นกะทิ


ขนมอาลัว

ทำหลายอย่างเลยค่ะ ก็มี ข้าวเหนียวตัดหน้ากะทิ, ขนมอาลัว, ลูกชุบ, ถั่วกวนคลุกมะพร้าว, วุ้นกะทิ ที่ทำยากหน่อยก็ลูกชุบแหละค่ะ นี่ทำรอบสองงามกว่าเดิมเยอะเลย มีสูตรลูกชุบดูที่นี่นะค่ะ ขนมถั่วกวนก็ใช้ไส้ลูกชุบเลยค่ะ แค่คลุกมะพร้าวอย่างเดียว ส่วนขนมอื่นๆ วันนี้ดูภาพก่อนเล้วกันเนอะ ไว้จะรีบมาบอกสูตร ให้วันหลังนะค่ะ เพราะว่าวันนี้ดึกมากแล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

White chocolate Oreo mousse cake.เค้กโอริโอไวท์ช็อกโกแลตมูส


เค้กโอริโอไวท์ช็อกโกแลตมูส
มูสเค้ก สูตรนี้อร่อยมากมาก และก็ทำไม่ยากด้วย ไม่พูดพร่ำทำเพลงละนะ บอกสูตรเลยละกัน พอดีทำออกมาได้ค่อนข้างดีค่ะ ก็เลยว่าจะเอาสูตรมาเผยแพร่กันหน่อย

ส่วนผสมทั้งหมด
1. Oreo cookie พร้อมครีม 3 ห่อ ( ใช้สำหรับทำฐานเค้ก 2 ห่อ และสำหรับทำเนื้อเค้กมูส 1 ห่อ )
2. เนยละลาย 12 ช้อนโต๊ะ
3. นมจืด 1 1/4 ถ้วย
4. เจลาตินผง 7 กรัม หรือเกือบ ๆ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนตัวใช้เวจทาเรียนเจลาตินค่ะ เนื่องจากทานเจลาตินที่ทำจากสัตว์ไม่ได้
5. ไวท์ช็อคโกแลต 330 กรัม
6. วิปปิ้งครีม 2 ถ้วย

วิธีทำฐานเค้ก
1. นำโอริโอ 2 ห่อ บดหรือตำให้ละเอียดก็ได้ค่ะ ดิฉันใช้วิธีตำ ประหยัดไฟ เปลืองพลังงานส่วนตัวหน่อยแต่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกาย ฮิๆ
2. จากนั้น เทเนยละลายใส่ลง คลุกให้เค้ากันอย่างดีเลยนะค่ะ
3. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว ก็นำไปกรุใส่พิมพ์เค้ก ควรใช้พิมพ์ที่สามารถถอดก้นพิมพ์ได้นะคะ กดลงให้แน่นและเรียบ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้ จริง ๆตอนทำไมได้แช่หรอกค่ะ เพราะว่าไม่ได้อ่านวิธีทำ ฮิๆ

วิธีทำไวท์ช็อกโกแลตโอริโอมูส
1. เทนมใส่หม้อ แล้วใส่เจลาตินลงไป ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไฟ จนเจลาตินละลายหมด คนตลอดเวลา 2. เมื่อเจลาตินละลายแล้ว ยกลงจากเตาแล้วเติมไวท์ช็อกโกแลตลงไป คนตลอดเวลาด้วยตะกร้อมือ คนจนช็อกโกแลตละลายเข้ากับนม จะได้เป็นครีมข้น ๆ
3. พักไว้ซักครู่พอให้ช็อกโกแลตอุ่นลง แล้วนำไปหล่อในน้ำแข็ง (นำกะละมังใส่น้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด แล้วนำหม้อช็อกโกแลตวางซ้อนลงไป) พร้อมคนตลอดเวลา จนได้เหมือนกับนำข้นหวาน ต้องคนตลอดเวลานะค่ะ ย้ำเลย ไม่งั้นจะเป็นเม็ด ๆ
4. พักไว้ หันมาตีวิปปิ้งครีมในภาชนะอีกใบจนตั้งยอดอ่อน
5. นำวิปปิ้งครีมที่ตีจนตั้งยอดแล้ว ใส่ลงไปในส่วนผสมของไวท์ช็อคโกแลต คนด้วยไม้พายเบา ๆ ให้เข้ากัน คนเบา ๆ นะคะ
6. แล้วนำโอริโอที่เหลืออีก 1 ห่อ มาบิดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่ต้องบดนะค่ะ แค่บิเป็นชิ้น ๆ แล้วนำมาเทใส่ในส่วนผสม แล้วคนให้เข้ากัน
7. พอส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว ก็นำไปเทใส่ในพิมพ์ที่เราแช่ตู้เย็นไว้ ดิฉันแช่ข้ามคืนเลยค่ะ หรืออย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนเสริฟ ดิฉันนำเข้าแช่แข็งอีกต่างหาก ได้เนื้อมูสคล้ายกับทานไอศครีมเลยค่ะ แต่ที่นำเข้าช่องแช่แข็งไม่ต้องตามก็ได้นะค่ะ แล้วแต่ชอบ จริง ๆแช่เย็นพอเซ็ทตัวก็เตรียมเสริฟได้เลย


เพิ่มเติมข้อควรระวังนิดนึงค่ะ เป็นการแนะนำ
1. ถ้าไม่ชอบหวานมาก ให้เอาครีมในโอริโอออกค่ะ เพราะถ้าผสมไปพร้อมครีมจะทำให้ค่อนข้างหวาน
2. เวลาตีวิปครีมต้องตีให้ได้ที่ ระวังอย่าให้เหลวหรือแข็งเกินไป เพราะถ้าเหลวจะทำให้มูสเหลวไป แข็งไปก็จะแยกตัวใช้ไม่ได้
3. เวลากรุฐานต้องกรุให้แน่เลยค่ะไม่งั้นเวลาเราตัดมันจะแตกออก ถ้าอย่างนั้นถือว่ายังได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี



ก่อนเสริฟดิฉันแต่งหน้าด้วย ดาร์กช็อกโกแลต ให้พอดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาหน่อยน่ะค่ะ อะไรที่ทำแล้วดูสวยก็น่าทานจริงมะ

สูตรนี้อร่อยนะขอบอก ลองทำดูไม่เชื่อ ทำง่ายด้วย

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

เค้กวนิลาสตอเบอร์รี่ ออเดอร์ส่งร้านอาหาร







ไม่มีคำบรรยายมากค่ะ เพียงแต่อยากจะเอารูปเค้กที่เพิ่งทำมาอวดโฉมกันหน่อยเผื่อจะเป็นไอเดียแต่งหน้าเค้ก เค้กนี้พื้น ๆเลยค่ะ ตัว วนิลาชิฟฟ่อนเค้ก แต่สูตรนี้ลดแป้งให้เหลือแค่ ถ้วยเดียว ทำให้ตัวเค้กนุ่มมากๆเลยค่ะ สูตรเดิมที่เคยทำจริง ๆก็ใช้ได้แต่เค้กจะมีน้ำหนักมากกว่า ถ้าแต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมก็จะเหมาะ แต่นี่แต่งหน้าด้วยครีมสด คือดิฉันชอบมากกว่า ถ้าเป็นครีมสดกับเค้กเนื้อนุ่ม ๆ

เวลาแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสดเนี่ย จะปาดให้เรียบยากกว่าบัตเตอร์เค้กหน่อย เคล็บลับคือ เวลาปาด ควรจุ่มที่ปาดเค้กลงในน้ำก่อนแล้วนำมาปาด ส่วนตัวดิฉันจะมีกระบอกน้ำทรงลึก ไว้จุ่มไปปาดไปน่ะค่ะ ทำให้เค้กเรียบง่ายขึ้น เท่านี้แหละค่ะนำเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยมากฝาก จริงๆ เป็นเกล็ดความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ที่ฝึกฝนอยู่บ่อยๆ ลงมือปฏิบัติจนแน่ใจ เลยบังอาจนำมาเผยแพร่ซะเลย

เรื่องขำขัน ของกระทงทอง

ล่าเตียง
กระทงทอง


ได้ยินชื่อคงนึกหน้าตาของว่างเบา ๆแบบไทยนี้ออก วันนี้มีสูตรพร้อมด้วยเรื่องขำ ๆ มาเล่าให้ฟัง

เมื่อวานได้รับเชิญให้ไปงานละศีลอด ซึ่งดิฉันก็ตกลงกับเจ้าของบ้านว่าจะทำของว่างแบบไทย ๆ ไปแจมด้วย ก็ตกลงว่าจะทำให้แขกที่มาประมาณสามสิบสี่สิบคน

ดิฉันเลือกทำเป็นกระทงทอง กับ ล่าเตียงหรือ หลุ่ม แล้วแต่ใครจะเรียกน่ะค่ะ ปัญหาเกิดกับกระทงทองค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า

ตามปกติคนไทยเราจะแก้ด้วยของหวาน แต่ว่าที่ได้รับเชิญเนี่ยเป็นชาวบังกลาเทศคะ เค้าจะไม่ละศีลอดด้วยของหวาน ส่วนมากอาหารในวันนั้นจะเป็นพวกของว่าง เช่น ซามูซา มะเขือม่วงทอด กะบาบ ออกแนวของว่าซะส่วนใหญ่ซึ่งก็รวมของว่างแบบไทยที่ดิฉันจำไปแจมด้วย

พอถึงเวลาละศีลอด ก็เริ่มแจกอาหารกันตามระเบียบแหละค่ะ แต่ละคนก็สนุกสนานกับอาหารในจานของตัวเอง ซักพักได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่น คนอื่นๆ ก็เดินไปรวมกัน ถามว่า "อะไรเหรอ " ปรากฏว่ามีคนนึงที่ร่วมในงาน นั่งควักใส้กระทงทองกินแล้วทิ้งตัวกระทงที่กรอบๆน่ะค่ะ แฟนดิฉันเกิดอาการทนไม่ได้มั้งค่ะ ก็ถามว่าทำไมกินแบบนั้นอ่ะ เสียดาย ปรากฏว่า พี่แกตอบว่า อ้าวนึกว่ากระดาษ ด้วยความที่แกฝังใจน่ะค่ะ ว่าดิฉันชอบทำเค้ก แกรู้ว่าเนี่ยเป็นของว่างที่ดิฉันทำ ก็เลยคิดว่าดิฉันคงทำอะไรออกมาให้ดูเหมือนเค้ก พี่แกไปจินตานาการเป็นแบบคัพเค้กน่ะค่ะคงนึกออกนะค่ะแบบว่าจะมีถ้วยกระดาษรองก้นอยู่ ก็เลยตักแต่ไส้ทานคิดว่าทานไม่ได้ เท่านั้นแหละ ... ขำกันก๊าก...

จริง ๆคนอื่นนั่งหัวเราะกันดิฉันก็ มาคิดทบทวนว่า นี่ฉันทำเค้กบ่อยจนไปหลอนชาวบ้านเลยเหรอเนี่ย หุๆๆ

ใครอยากลองทำทานเองไม่ยากคะ ดูสูตรล่าเตียงได้ ที่นี่ค่ะ ส่วนสูตรกระทงทอง ที่นี่ค่ะ

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวอินเดียที่ southall ลอนดอน

เมื่อวานไปละศีลอดไกลถึงลอนดอน ขับรถจากบ้านถึงที่นั่นก็ประมาณ ชั่วโมงเศษ ชาวบังกลาเทศเค้าจะมีธรรมเนียม ในเดือนรอมฎอนที่ชาวมุสลิมถือศีลอดกันนั้น แม่ยายจะต้องให้เงินเพื่อการละศีลอดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในเดือนนั้น น้องชายของแฟนได้จากแม่ยายเค้า ก็เลยได้ทีของพวกเรา นัดรวมตัวกันอีกตามเคย

เราเลือกที่จะไปที่ Southall London เป็นแหล่งตลาดเอเชียที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่หนึ่งในลอนดอน ประมาณไชน่าทาวน์แหละค่ะ แต่นี่เป็นอินเดียนทาวน์อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ มีสินค้า ร้านค้าต่าง ๆมากมายเลย ส่วนมากจะเป็นพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับ ของใช้ต่าง ๆที่ใช้งานปาร์ตี้ งานแต่งงาน ร้านอาหาร จิปาถะเยอะแยะไปหมด

จริง ๆดิฉันไปมาสองครั้งแล้วค่ะ เวลาเดินแถวนั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่อังกฤษเลย แถบจะไม่เห็นฝรั่งมังค่าเลยค่ะ มีแต่ชาวอินเดีย ปากี ทั้งมุสลิม ซิกส์ ฮินดู


เวลาสองสามชั่วโมงผ่านไปกับการช้อปปิ้ง เรียกได้ว่าเดินกันเมื่อยเลย ที่ชอบเห็นเป็นร้านขายหมาก ตลกดี ชาวอินเดีย ปากี บังกลาเทศ เนี่ยเค้ายังนิยมทานหมากกันอยู่เลยค่ะ บ้านเราก็เลิกทานกันมาหลายสิบปี แต่ก็ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านที่ยังทานอยู่ ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าน

แต่หมากเค้าไม่เหมือนบ้านเรานะค่ะ มีหลายรสชาติ ส่วนมากจะเป็นหมากหวาน แล้วมีกลิ่นหอม คือจะใส่กลิ่นลงไปด้วยในเครื่องปรุง ขายดีด้วย ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะที่อุตหนุน ก็พวกที่มาด้วยกันนี่แหละ ฮ่าๆ ราคาต่อ คำอยู่ที่ 1 ปอนด์ ก็จะอยู่ราว ๆ 50 บาท ไม่เคยลองหรอกคะ กลัวติดใจ เดี๋ยวกลายเป็นยายละยุ่งเลย เวลาสั่งซื้อ ก็จะเลือกเอาที่เราชอบเค้าจะไปห่อให้ เหมือนซื้อแซนวิชเลย




มีอีกอย่างที่อยากแนะนำ ถ้าได้ไปเที่ยวแถวนั้น อย่าได้ถือสาเลยเชียวเวลาจับจ่ายสินค้า เพราะพ่อค้าแม่ขายเค้าไม่ค่อยจะสุภาพเท่าไหร่ เนื่องจากคนเยอะต่อเยอะ เค้าก็คงปวดหัวน่ะค่ะ พูดกันห้วน ๆ ดิฉันไปครั้งแรก ก็รับไม่ค่อยได้ เพราะพ่อค้าพูดไม่ดี น้องสาวแฟนก็บอกว่า อย่าไปถือสา เพราะแถวนั้นเป็นแบบนี้ ไม่งั้นก็คงไม่ได้ซื้ออะไรกลับไป เค้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกันตอนแรก นี่ลองเป็นบ้านเรา แม่ค้าพ่อค้าพูดจาไม่สุภาพอย่าหวังจะได้ตังค์จากลูกค้าเลย ดิฉันคนนึ่งจ้างก็ไม่ซื้อ

แล้วเวลาไปซื้อของที่นั้น ต้องต่อ เกินครึ่งไว้ก่อน พ่อค้าบ่นก็ช่างค่ะ ทำขำ ๆไว้ เดี๋ยวพอเดินหนี ก็ให้ซะงั้น ออกแนวนี้กันหมดเลยค่ะ เวลาซื้อของก็ต้องแอคติ้งไม่อยากได้แล้วก็เดินหนี เดี๋ยวเค้าก็เรียกเองแหละ ฮิๆ ทำมาแล้ว สำเร็จด้วย แต่ก็โดนบ่นหน่อย ๆ

ซื้อของเสร็จเราก็ต้องรีบไปจองร้านอาหาร เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลถือศีลอดร้านอาหารแถวนั้นเค้าไม่รับจองโต๊ะ เราก็ต้องไปก่อนเวลาซักหน่อย แล้วก็ไปนั่งจองกันไว้


โดยรวมวันนั้นก็สนุกดีค่า เป็นย่านการค้าที่ออกจะลูกทุ่งหน่อยแต่ก็แปลกดี เหมือนไปเที่ยวอินเดียเลย ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าอยู่ในอังกฤษเลยซักนิด

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จับจ่ายอาหารไทยที่ไบรท์ตัน (Brighton)

จับจ่ายอาหารไทยที่ไบรท์ตัน (Brighton)
เมื่อวานไปซื้อของซะไกลบ้านเลย อยากทานอาหารไทยน่ะค่ะ พอดีมีธุระที่เมือง Brighton อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ขับรถก็ประมาณ 20-30 นาที เมือง Brighton เมืองชายหาดที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของอังกฤษ

พอดีค้นหาร้านขายของไทยบนอินเตอร์เน็ตก็พบว่ามีร้านขายของไทยที่นั่น ตาวาวเลย จริง ๆส่วนมากสินค้าที่ใช้ในการปรุงอาหารไทยก็มีขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปในอังกฤษ หรือสามารถหาซื้อได้จากร้านขายของเอเชีย แต่จะมีบางอย่างพวก ใบเตย ใบมะกรูด ใบไม้พืชผักต่าง ๆที่หาซื้อไม่ได้ต้องไปร้านไทยโดยเฉพาะ หรือพวกซอสปรุงรสบางอย่าง ส่วนมากดิฉันเน้นพวกใบไม้พืชผักนะค่ะ

เมื่อวานเลยได้มาหลายอย่างเลย ที่สำคัญใบเตยและแป้งข้าวเหนียว คืออยากทานบัวลอยเผือกมาก ๆ ว่าแล้วก็ทำเป็นอาหารหวานหลังละศีลอดซะเลย ดิฉันทำบัวลอยใส่งาเข้าไปด้วย จริง ๆเค้าไม่ใส่กันหรอกค่ะ คือชอบงา ก็ตามในตัวเองซะหน่อย




ปกติเวลาละศีลอดก็จะทานอินทผลัมช่วยให้สดชื่นขึ้นเนื่องจากรสชาติที่หวานแสบไส้ของอินทผลัม อินทผลัม 1 เม็ดให้พลังงานประมาณ 90 กิโลแครอลี่ (ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของผล) ถ้าทานตอนเช้าก็อยู่ได้ทั้งวันเลยค่ะโดยไม่ทานอะไร ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เพราะให้พลังงานสูง ช่วยได้เยอะในช่วงถือศีลอดทีต้องอดอาหารในตอนกลางวัน

นอกเหนือจากนั้น พวกอาหารที่ดิฉันทานโดยปกติเวลาละศีลอดก็จะเป็นพวก โรตี แกง หรือข้าว แกง ส่วนมากจะหนักไปทางเครื่องเทศ เพราะแฟนชอบทานเครื่องเทศ ดิฉันก็นั่งคิดถึงอาหารไทย ฮ้อย ๆๆ อยากทาน ๆ พวกเปรี้ยวๆ เผ็ด ๆ ก็สมใจแหละค่ะที่ไปช็อปมาเมื่อวานได้ใบโหรพา ใบกระเพรามาด้วย ฮิๆๆ ผัดกระเพรากับไข่ดาว เคยเรียกเมนูนี้ว่า "เมนูสิ้นคิด" เพราะนึกอะไรไม่ออกก็กระเพราไข่ดาว ตอนอยู่เมืองไทยเวลาแม่บ้านที่ทำงานถามว่าอยากทานอะไรช่วงพักเที่ยง ตอนนี้มาอยู่ไกลบ้านก็ไม่วายที่คิดอยากทานจะทานกระเพราไข่ดาว ได้กลิ่นฉุนของใบกระเพาะ ใบมะกรูด โพรพาแล้วชื่นใจ หุๆ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทศกาลถือศีลอด

ห่างหายไปหลายวัน เนื่องจาก ช่วงนี้เป็นช่วงเทศการถือศีลอด อย่างที่ทราบกันค่ะว่ามีการถือศีลอดอาหาร และมีการละศีลในช่วงค่ำ ไม่แค่นั้นค่ะ นอกเหนือจากนี้ ก็จะมีการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ประพฤติดี ปฏิบัติดี ทำดีให้มาก ฝึกฝนขัดเกลาตนเอง ละเว้นความผิดบาปต่าง ๆ

เนื่องจากชาวมุสลิมเชื่อว่า เดือนนี้เป็นเดือนที่พระผู้เป็นเจ้าเปิดโอกาศในการขอลุแก่โทษ และเป็นเดือนที่มากไปด้วยพระเมตตาจากพระองค์ ผู้ที่ฝักใฝ่ความดีงามและความรักจากพระองค์ ก็จะถือโอกาสใช้ชีวิตในเดือนนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ทำดีให้มากที่สุด ตัดขาดจากความผิดบาปทั้งหลาย ซึ่งในเวลาหนึ่งเดือน หากตั้งใจฝึกปฏิบัติ ก็จะทำให้กลายเป็นนิสัย จนไม่สามารถกลับไปทำความผิดเดิม ๆได้อีก เรียกได้ว่าเป็นการชำระทั้งร่างกายและจิตใจ

เดือนนี้ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงกันเลยล่ะค่ะ คนที่ใฝ่ดีก็จะ หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปฏิบัติธรรม ทำดีละชั่ว คนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ก็ใช้ชีวิตตามปกติ คนเราก็มีทั้งดีไม่ดีปะปนกันไป มีกันทุกศาสนาทุกที่ทั่วโลกแหละค่ะ

ดิฉันรักดีค่ะ ฮิๆ ปีนึงมีหนเดียว จะปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ได้ไง เสียดายแย่ ออกจะธรรมะธรรมโมอยู่เหมือนกัน ก็เลยไม่ค่อยมีเวลามาอัปเดทเท่าไหร อีกอย่างวัน ๆผ่านไปกับการอ่าน ก็เดิม ๆอย่างนี้ทุกวัน ก็เลยยังไม่มีอะไรใหม่มาอัปเดท

ใครอยากลองฝึกฝนดูมั่งก็ได้นะ ลองอดซักวันหนึ่งหรือครึ่งวัน แล้วทำดีสุด ๆ อะไรก็ได้ที่เป็นความดี และละความผิดบาปทั้งหลาย ดิฉันคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีอยู่ในสามัญสำนึกอยู่แล้ว ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เอาแบบพื้น ๆว่ารู้ว่านี่ดี ก็ทำเลย รู้สึกว่านี่ไม่ดีก็ละซะ เนอะ ลองดู

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตะโก้แห้ว





ช่วงนี้เป็นช่วงเทศการถือศีลอด พอช่วงเย็นเมื่อถึงเวลาละศีลอด จะรู้สึกอยากทานของหวานมาก ๆ นึกถึงขนมไทยโปรดตะโก้แห้ว ไปเจอสูตรทางอินเตอร์เน็ตที่ทำออกมาใช้ได้ เลยบันทึกไว้ซะเลย

ส่วนผสม
ตัวตะโก้
แป้งข้าวเจ้า ½ ถ้วย
แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ¾ ถ้วย
น้ำใบเตย ¼ ถ้วย
แห้วกระป๋องเล็ก 1 กระป๋อง
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
หน้าตะโก้
กะทิ 1 กระป๋อง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
แป้งข้าวเจ้า ¼ ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. หั่นแห้วเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
2. ผสมแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย จากนั้นเทน้ำเปล่าและน้ำใบเตยลงไป คนให้เข้ากันอย่าให้แป้งเป็นเม็ด
3. น้ำส่วนผสมแป้งขึ้นตั้งไฟ พอแป้งเริ่มข้นก็ใส่แห้วลงไป ตั้งไฟจนเดือด แล้วยกลง
4. ตักแป้งหยดลงในถ้วย
5. ทำส่วนผสมของหน้าตะโก้ ผสมหัวกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น แป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน ตั้งไฟปานกลางค่อนข้างต่ำ คนจนส่วนผสมข้นแล้วยกลง
6. นำมาราดบนส่วนผสมแห้วที่หยอดไว้แล้ว ตกแต่งด้วยขนุนหรือ แห้ว

ทำไมยากเลย หลงซื้อทานซะนานเชียว

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Chocolate ribbon cake (เค้กช็อกโกแลตกับช็อกโกแลตริบบิ้น)






ทำเค้กอีกแล้ว ช่วงนี้เลยไม่ได้เขียนเรื่องอื่นเท่าไหร่เลย เค้กอย่างเดียวเลย ที่เห็นเป็นเค้กช็อกโกแลต แต่งหน้าและสอดไส้ด้วยกล้วยหอมกับวิปครีม สูตรตัวเค้กดูได้จากที่นี่ค่ะ
ส่วนโบว์ที่เห็นอยู่บนเค้กทำจากช็อกโกแลต ดูสูตรได้ที่นี่ค่ะ พอดีทำเก็บไว้ในตู้เย็นนึกอะไรไม่ออก ก็เลยแต่งหน้าแบบนั้นเลย


จะสังเกตเห็นว่าโบว์จะเหมือนเปียก ดิฉันพลาดอีกแล้วค่ะ ด้วยความที่อยากจะให้มันเงา ก็เอาน้ำผึ้งไปทา จริง ๆไม่ควรทำ เพราะช็อกโกแลตมีไขมัน จะไม่ทำให้ช็อกโกแลตดูเงา นอกจากจะเห็นว่าน้ำผึ้งจับตัวกันเป็นหย่อม ๆ เหมือนกับเปียก

การจะให้ช็อกโกแลตเงาอยู่ที่อุณหภูมิและส่วนผสม แต่ช็อกโกแลตริบิ้นที่ทำ มีส่วนผสมของน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง ก็จะไม่มันเงา จะออกด้าน ๆ โดยปกติ

ดิฉันคิดว่าอยากให้ดูเงา ๆหน่อยก็เลยทำอย่างที่ว่าแหละค่ะ จริงๆ ควรทาด้วยน้ำมันอะไรพวกนี้น่ะค่ะ ตะแบง ฮิๆๆ


ส่วนในภาพเห็นว่า วิปครีมน้อยไป วันที่ทำ ฝากคุณสามีซื้อวิปครีมมา คุณพี่เค้าซื้อมากระป๋องเดียว ก็เลย กระดำกระด่างอย่างที่เห็นน่ะค่ะ วิปครีมไม่พอ ใช้สอดไส้ซะมากไปหน่อย หน้าเค้กเลยอย่างที่เห็น ฮิๆ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สูตรขนมปังลูกเกต



เห็นว่าทำขนมปังพอได้ดีก็เลยทดลองใหม่เพื่อความมั่นใจ สูตรนี้ได้มาจากทางอินเตอร์เน็ต ใช้ได้ค่ะ รสชาติดี ออกหวาน ๆนิดหน่อย หอมเนย ใครอยากลองทำเอาสูตรไปลองดูแล้วกันเนอะ


แต่ดิฉันใช้สูตรนี้แล้ว ตอนใส่เนยแล้วเหมือนว่าเนยมันจะเยอะไป มันแหยะ ต้องเติมแป้งเข้าไปอีกหน่อย หรืออาจจะเป็นที่กิโลที่ใช้ชั่งก็ได้ เนื้อขนมปัง นุ่มดี มีน้ำหนัก หอมเนยด้วย แต่บอกไม่ถูกอ่ะค่ะ ยังไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ หรือไปยึดติดกับขนมปังลูกเกตที่เคยซื้อทานไม่รู้ เนื้อจะเหนียวกว่า

ดิฉันคงพลาดเองแหละค่ะ เพราะในภาพต้นฉบับ ดูดีกว่านี้อ่ะ น่าจะพลาดตอนชั่ง (ชัดเจน ฮิๆ) หรือไม่ก็ตอนนวดแหละค่ะ

ถ้าใครลองใช้สูตรนี้ทำแล้วได้ประสบการณ์ยังไงมาเล่าสู่กันฟังมั่งนะค่ะ

ส่วนผสม
200 g แป้งขนมปัง
1 tsp ยีสต์แห้ง
2 tbsp น้ำตาล
½ tsp เกลือ
25 g เนยจืด (นิ่ม)
140 ml นมสด
100 g ลูกเกด
2 tbsp น้ำเปล่า
Egg wash ไข่ 1 ฟอง + น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.แช่ลูกเกดในน้ำ ประมาณ 2 ชั่วโมงขึ้นไป หรือแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนเลยค่ะ (ที่ต้องแช่น้ำเพราะถ้าใช้ลูกเกตแห้ง เวลาผสมในแป้งแล้วลูกเกตจะดูดน้ำในขนมปังทำให้เนื้อขนมปังแห้ง)
2.เตรียมพิมพ์โดยทาเนยที่พิมพ์ หรือวางกระดาษรองอบไว้ด้านใน
3.ใส่แป้ง ยีสต์ น้ำตาล เกลือ แล้วคนให้เข้ากัน
4.เทนมลงไปในชามแป้ง ใช้ช้อนอันใหญ่คนให้เข้ากัน มือก็ได้ค่ะ ผสมให้เข้ากัน
5.นำออกจากชาม บนโต๊ะพื้นเรียบ หรือจะนวดในภาชนะใบใหญ่ก็ได้ แล้วแต่สะดวกค่ะ
6.จากนั้นใส่เนยลงไป นวดประมาณ 10นาทีจน เนียนและยืดหยุ่นดี
รีดให้เป็นแผ่น แล้วโรยลูกเกดลงไป นวดเล็กน้อยให้ลูกเกด กระจายทั่วเนื้อขนมปัง
7.นำใส่ลงในชามที่ทาเนยไว้บางๆ พักไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า ประมาณ 1 ชั่วโมง
8.นำออกจากชามรีดเป็นวงกลมขนาดประมาณ 18 เซนติเมตร แล้วม้วนเป็นแท่ง
9.ตัดเป็น 2 ก้อน แล้วปั้นให้กลม วางลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้