วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวอินเดียที่ southall ลอนดอน

เมื่อวานไปละศีลอดไกลถึงลอนดอน ขับรถจากบ้านถึงที่นั่นก็ประมาณ ชั่วโมงเศษ ชาวบังกลาเทศเค้าจะมีธรรมเนียม ในเดือนรอมฎอนที่ชาวมุสลิมถือศีลอดกันนั้น แม่ยายจะต้องให้เงินเพื่อการละศีลอดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในเดือนนั้น น้องชายของแฟนได้จากแม่ยายเค้า ก็เลยได้ทีของพวกเรา นัดรวมตัวกันอีกตามเคย

เราเลือกที่จะไปที่ Southall London เป็นแหล่งตลาดเอเชียที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่หนึ่งในลอนดอน ประมาณไชน่าทาวน์แหละค่ะ แต่นี่เป็นอินเดียนทาวน์อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ มีสินค้า ร้านค้าต่าง ๆมากมายเลย ส่วนมากจะเป็นพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับ ของใช้ต่าง ๆที่ใช้งานปาร์ตี้ งานแต่งงาน ร้านอาหาร จิปาถะเยอะแยะไปหมด

จริง ๆดิฉันไปมาสองครั้งแล้วค่ะ เวลาเดินแถวนั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่อังกฤษเลย แถบจะไม่เห็นฝรั่งมังค่าเลยค่ะ มีแต่ชาวอินเดีย ปากี ทั้งมุสลิม ซิกส์ ฮินดู


เวลาสองสามชั่วโมงผ่านไปกับการช้อปปิ้ง เรียกได้ว่าเดินกันเมื่อยเลย ที่ชอบเห็นเป็นร้านขายหมาก ตลกดี ชาวอินเดีย ปากี บังกลาเทศ เนี่ยเค้ายังนิยมทานหมากกันอยู่เลยค่ะ บ้านเราก็เลิกทานกันมาหลายสิบปี แต่ก็ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านที่ยังทานอยู่ ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าน

แต่หมากเค้าไม่เหมือนบ้านเรานะค่ะ มีหลายรสชาติ ส่วนมากจะเป็นหมากหวาน แล้วมีกลิ่นหอม คือจะใส่กลิ่นลงไปด้วยในเครื่องปรุง ขายดีด้วย ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะที่อุตหนุน ก็พวกที่มาด้วยกันนี่แหละ ฮ่าๆ ราคาต่อ คำอยู่ที่ 1 ปอนด์ ก็จะอยู่ราว ๆ 50 บาท ไม่เคยลองหรอกคะ กลัวติดใจ เดี๋ยวกลายเป็นยายละยุ่งเลย เวลาสั่งซื้อ ก็จะเลือกเอาที่เราชอบเค้าจะไปห่อให้ เหมือนซื้อแซนวิชเลย




มีอีกอย่างที่อยากแนะนำ ถ้าได้ไปเที่ยวแถวนั้น อย่าได้ถือสาเลยเชียวเวลาจับจ่ายสินค้า เพราะพ่อค้าแม่ขายเค้าไม่ค่อยจะสุภาพเท่าไหร่ เนื่องจากคนเยอะต่อเยอะ เค้าก็คงปวดหัวน่ะค่ะ พูดกันห้วน ๆ ดิฉันไปครั้งแรก ก็รับไม่ค่อยได้ เพราะพ่อค้าพูดไม่ดี น้องสาวแฟนก็บอกว่า อย่าไปถือสา เพราะแถวนั้นเป็นแบบนี้ ไม่งั้นก็คงไม่ได้ซื้ออะไรกลับไป เค้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกันตอนแรก นี่ลองเป็นบ้านเรา แม่ค้าพ่อค้าพูดจาไม่สุภาพอย่าหวังจะได้ตังค์จากลูกค้าเลย ดิฉันคนนึ่งจ้างก็ไม่ซื้อ

แล้วเวลาไปซื้อของที่นั้น ต้องต่อ เกินครึ่งไว้ก่อน พ่อค้าบ่นก็ช่างค่ะ ทำขำ ๆไว้ เดี๋ยวพอเดินหนี ก็ให้ซะงั้น ออกแนวนี้กันหมดเลยค่ะ เวลาซื้อของก็ต้องแอคติ้งไม่อยากได้แล้วก็เดินหนี เดี๋ยวเค้าก็เรียกเองแหละ ฮิๆ ทำมาแล้ว สำเร็จด้วย แต่ก็โดนบ่นหน่อย ๆ

ซื้อของเสร็จเราก็ต้องรีบไปจองร้านอาหาร เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลถือศีลอดร้านอาหารแถวนั้นเค้าไม่รับจองโต๊ะ เราก็ต้องไปก่อนเวลาซักหน่อย แล้วก็ไปนั่งจองกันไว้


โดยรวมวันนั้นก็สนุกดีค่า เป็นย่านการค้าที่ออกจะลูกทุ่งหน่อยแต่ก็แปลกดี เหมือนไปเที่ยวอินเดียเลย ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าอยู่ในอังกฤษเลยซักนิด

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จับจ่ายอาหารไทยที่ไบรท์ตัน (Brighton)

จับจ่ายอาหารไทยที่ไบรท์ตัน (Brighton)
เมื่อวานไปซื้อของซะไกลบ้านเลย อยากทานอาหารไทยน่ะค่ะ พอดีมีธุระที่เมือง Brighton อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ขับรถก็ประมาณ 20-30 นาที เมือง Brighton เมืองชายหาดที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของอังกฤษ

พอดีค้นหาร้านขายของไทยบนอินเตอร์เน็ตก็พบว่ามีร้านขายของไทยที่นั่น ตาวาวเลย จริง ๆส่วนมากสินค้าที่ใช้ในการปรุงอาหารไทยก็มีขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปในอังกฤษ หรือสามารถหาซื้อได้จากร้านขายของเอเชีย แต่จะมีบางอย่างพวก ใบเตย ใบมะกรูด ใบไม้พืชผักต่าง ๆที่หาซื้อไม่ได้ต้องไปร้านไทยโดยเฉพาะ หรือพวกซอสปรุงรสบางอย่าง ส่วนมากดิฉันเน้นพวกใบไม้พืชผักนะค่ะ

เมื่อวานเลยได้มาหลายอย่างเลย ที่สำคัญใบเตยและแป้งข้าวเหนียว คืออยากทานบัวลอยเผือกมาก ๆ ว่าแล้วก็ทำเป็นอาหารหวานหลังละศีลอดซะเลย ดิฉันทำบัวลอยใส่งาเข้าไปด้วย จริง ๆเค้าไม่ใส่กันหรอกค่ะ คือชอบงา ก็ตามในตัวเองซะหน่อย




ปกติเวลาละศีลอดก็จะทานอินทผลัมช่วยให้สดชื่นขึ้นเนื่องจากรสชาติที่หวานแสบไส้ของอินทผลัม อินทผลัม 1 เม็ดให้พลังงานประมาณ 90 กิโลแครอลี่ (ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของผล) ถ้าทานตอนเช้าก็อยู่ได้ทั้งวันเลยค่ะโดยไม่ทานอะไร ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เพราะให้พลังงานสูง ช่วยได้เยอะในช่วงถือศีลอดทีต้องอดอาหารในตอนกลางวัน

นอกเหนือจากนั้น พวกอาหารที่ดิฉันทานโดยปกติเวลาละศีลอดก็จะเป็นพวก โรตี แกง หรือข้าว แกง ส่วนมากจะหนักไปทางเครื่องเทศ เพราะแฟนชอบทานเครื่องเทศ ดิฉันก็นั่งคิดถึงอาหารไทย ฮ้อย ๆๆ อยากทาน ๆ พวกเปรี้ยวๆ เผ็ด ๆ ก็สมใจแหละค่ะที่ไปช็อปมาเมื่อวานได้ใบโหรพา ใบกระเพรามาด้วย ฮิๆๆ ผัดกระเพรากับไข่ดาว เคยเรียกเมนูนี้ว่า "เมนูสิ้นคิด" เพราะนึกอะไรไม่ออกก็กระเพราไข่ดาว ตอนอยู่เมืองไทยเวลาแม่บ้านที่ทำงานถามว่าอยากทานอะไรช่วงพักเที่ยง ตอนนี้มาอยู่ไกลบ้านก็ไม่วายที่คิดอยากทานจะทานกระเพราไข่ดาว ได้กลิ่นฉุนของใบกระเพาะ ใบมะกรูด โพรพาแล้วชื่นใจ หุๆ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทศกาลถือศีลอด

ห่างหายไปหลายวัน เนื่องจาก ช่วงนี้เป็นช่วงเทศการถือศีลอด อย่างที่ทราบกันค่ะว่ามีการถือศีลอดอาหาร และมีการละศีลในช่วงค่ำ ไม่แค่นั้นค่ะ นอกเหนือจากนี้ ก็จะมีการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ประพฤติดี ปฏิบัติดี ทำดีให้มาก ฝึกฝนขัดเกลาตนเอง ละเว้นความผิดบาปต่าง ๆ

เนื่องจากชาวมุสลิมเชื่อว่า เดือนนี้เป็นเดือนที่พระผู้เป็นเจ้าเปิดโอกาศในการขอลุแก่โทษ และเป็นเดือนที่มากไปด้วยพระเมตตาจากพระองค์ ผู้ที่ฝักใฝ่ความดีงามและความรักจากพระองค์ ก็จะถือโอกาสใช้ชีวิตในเดือนนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ทำดีให้มากที่สุด ตัดขาดจากความผิดบาปทั้งหลาย ซึ่งในเวลาหนึ่งเดือน หากตั้งใจฝึกปฏิบัติ ก็จะทำให้กลายเป็นนิสัย จนไม่สามารถกลับไปทำความผิดเดิม ๆได้อีก เรียกได้ว่าเป็นการชำระทั้งร่างกายและจิตใจ

เดือนนี้ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงกันเลยล่ะค่ะ คนที่ใฝ่ดีก็จะ หมกมุ่นอยู่กับการฝึกปฏิบัติธรรม ทำดีละชั่ว คนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ก็ใช้ชีวิตตามปกติ คนเราก็มีทั้งดีไม่ดีปะปนกันไป มีกันทุกศาสนาทุกที่ทั่วโลกแหละค่ะ

ดิฉันรักดีค่ะ ฮิๆ ปีนึงมีหนเดียว จะปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ได้ไง เสียดายแย่ ออกจะธรรมะธรรมโมอยู่เหมือนกัน ก็เลยไม่ค่อยมีเวลามาอัปเดทเท่าไหร อีกอย่างวัน ๆผ่านไปกับการอ่าน ก็เดิม ๆอย่างนี้ทุกวัน ก็เลยยังไม่มีอะไรใหม่มาอัปเดท

ใครอยากลองฝึกฝนดูมั่งก็ได้นะ ลองอดซักวันหนึ่งหรือครึ่งวัน แล้วทำดีสุด ๆ อะไรก็ได้ที่เป็นความดี และละความผิดบาปทั้งหลาย ดิฉันคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีอยู่ในสามัญสำนึกอยู่แล้ว ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เอาแบบพื้น ๆว่ารู้ว่านี่ดี ก็ทำเลย รู้สึกว่านี่ไม่ดีก็ละซะ เนอะ ลองดู

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตะโก้แห้ว





ช่วงนี้เป็นช่วงเทศการถือศีลอด พอช่วงเย็นเมื่อถึงเวลาละศีลอด จะรู้สึกอยากทานของหวานมาก ๆ นึกถึงขนมไทยโปรดตะโก้แห้ว ไปเจอสูตรทางอินเตอร์เน็ตที่ทำออกมาใช้ได้ เลยบันทึกไว้ซะเลย

ส่วนผสม
ตัวตะโก้
แป้งข้าวเจ้า ½ ถ้วย
แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ¾ ถ้วย
น้ำใบเตย ¼ ถ้วย
แห้วกระป๋องเล็ก 1 กระป๋อง
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
หน้าตะโก้
กะทิ 1 กระป๋อง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
แป้งข้าวเจ้า ¼ ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. หั่นแห้วเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
2. ผสมแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย จากนั้นเทน้ำเปล่าและน้ำใบเตยลงไป คนให้เข้ากันอย่าให้แป้งเป็นเม็ด
3. น้ำส่วนผสมแป้งขึ้นตั้งไฟ พอแป้งเริ่มข้นก็ใส่แห้วลงไป ตั้งไฟจนเดือด แล้วยกลง
4. ตักแป้งหยดลงในถ้วย
5. ทำส่วนผสมของหน้าตะโก้ ผสมหัวกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น แป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน ตั้งไฟปานกลางค่อนข้างต่ำ คนจนส่วนผสมข้นแล้วยกลง
6. นำมาราดบนส่วนผสมแห้วที่หยอดไว้แล้ว ตกแต่งด้วยขนุนหรือ แห้ว

ทำไมยากเลย หลงซื้อทานซะนานเชียว

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Chocolate ribbon cake (เค้กช็อกโกแลตกับช็อกโกแลตริบบิ้น)






ทำเค้กอีกแล้ว ช่วงนี้เลยไม่ได้เขียนเรื่องอื่นเท่าไหร่เลย เค้กอย่างเดียวเลย ที่เห็นเป็นเค้กช็อกโกแลต แต่งหน้าและสอดไส้ด้วยกล้วยหอมกับวิปครีม สูตรตัวเค้กดูได้จากที่นี่ค่ะ
ส่วนโบว์ที่เห็นอยู่บนเค้กทำจากช็อกโกแลต ดูสูตรได้ที่นี่ค่ะ พอดีทำเก็บไว้ในตู้เย็นนึกอะไรไม่ออก ก็เลยแต่งหน้าแบบนั้นเลย


จะสังเกตเห็นว่าโบว์จะเหมือนเปียก ดิฉันพลาดอีกแล้วค่ะ ด้วยความที่อยากจะให้มันเงา ก็เอาน้ำผึ้งไปทา จริง ๆไม่ควรทำ เพราะช็อกโกแลตมีไขมัน จะไม่ทำให้ช็อกโกแลตดูเงา นอกจากจะเห็นว่าน้ำผึ้งจับตัวกันเป็นหย่อม ๆ เหมือนกับเปียก

การจะให้ช็อกโกแลตเงาอยู่ที่อุณหภูมิและส่วนผสม แต่ช็อกโกแลตริบิ้นที่ทำ มีส่วนผสมของน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง ก็จะไม่มันเงา จะออกด้าน ๆ โดยปกติ

ดิฉันคิดว่าอยากให้ดูเงา ๆหน่อยก็เลยทำอย่างที่ว่าแหละค่ะ จริงๆ ควรทาด้วยน้ำมันอะไรพวกนี้น่ะค่ะ ตะแบง ฮิๆๆ


ส่วนในภาพเห็นว่า วิปครีมน้อยไป วันที่ทำ ฝากคุณสามีซื้อวิปครีมมา คุณพี่เค้าซื้อมากระป๋องเดียว ก็เลย กระดำกระด่างอย่างที่เห็นน่ะค่ะ วิปครีมไม่พอ ใช้สอดไส้ซะมากไปหน่อย หน้าเค้กเลยอย่างที่เห็น ฮิๆ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สูตรขนมปังลูกเกต



เห็นว่าทำขนมปังพอได้ดีก็เลยทดลองใหม่เพื่อความมั่นใจ สูตรนี้ได้มาจากทางอินเตอร์เน็ต ใช้ได้ค่ะ รสชาติดี ออกหวาน ๆนิดหน่อย หอมเนย ใครอยากลองทำเอาสูตรไปลองดูแล้วกันเนอะ


แต่ดิฉันใช้สูตรนี้แล้ว ตอนใส่เนยแล้วเหมือนว่าเนยมันจะเยอะไป มันแหยะ ต้องเติมแป้งเข้าไปอีกหน่อย หรืออาจจะเป็นที่กิโลที่ใช้ชั่งก็ได้ เนื้อขนมปัง นุ่มดี มีน้ำหนัก หอมเนยด้วย แต่บอกไม่ถูกอ่ะค่ะ ยังไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ หรือไปยึดติดกับขนมปังลูกเกตที่เคยซื้อทานไม่รู้ เนื้อจะเหนียวกว่า

ดิฉันคงพลาดเองแหละค่ะ เพราะในภาพต้นฉบับ ดูดีกว่านี้อ่ะ น่าจะพลาดตอนชั่ง (ชัดเจน ฮิๆ) หรือไม่ก็ตอนนวดแหละค่ะ

ถ้าใครลองใช้สูตรนี้ทำแล้วได้ประสบการณ์ยังไงมาเล่าสู่กันฟังมั่งนะค่ะ

ส่วนผสม
200 g แป้งขนมปัง
1 tsp ยีสต์แห้ง
2 tbsp น้ำตาล
½ tsp เกลือ
25 g เนยจืด (นิ่ม)
140 ml นมสด
100 g ลูกเกด
2 tbsp น้ำเปล่า
Egg wash ไข่ 1 ฟอง + น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.แช่ลูกเกดในน้ำ ประมาณ 2 ชั่วโมงขึ้นไป หรือแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนเลยค่ะ (ที่ต้องแช่น้ำเพราะถ้าใช้ลูกเกตแห้ง เวลาผสมในแป้งแล้วลูกเกตจะดูดน้ำในขนมปังทำให้เนื้อขนมปังแห้ง)
2.เตรียมพิมพ์โดยทาเนยที่พิมพ์ หรือวางกระดาษรองอบไว้ด้านใน
3.ใส่แป้ง ยีสต์ น้ำตาล เกลือ แล้วคนให้เข้ากัน
4.เทนมลงไปในชามแป้ง ใช้ช้อนอันใหญ่คนให้เข้ากัน มือก็ได้ค่ะ ผสมให้เข้ากัน
5.นำออกจากชาม บนโต๊ะพื้นเรียบ หรือจะนวดในภาชนะใบใหญ่ก็ได้ แล้วแต่สะดวกค่ะ
6.จากนั้นใส่เนยลงไป นวดประมาณ 10นาทีจน เนียนและยืดหยุ่นดี
รีดให้เป็นแผ่น แล้วโรยลูกเกดลงไป นวดเล็กน้อยให้ลูกเกด กระจายทั่วเนื้อขนมปัง
7.นำใส่ลงในชามที่ทาเนยไว้บางๆ พักไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า ประมาณ 1 ชั่วโมง
8.นำออกจากชามรีดเป็นวงกลมขนาดประมาณ 18 เซนติเมตร แล้วม้วนเป็นแท่ง
9.ตัดเป็น 2 ก้อน แล้วปั้นให้กลม วางลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

marble chocolate decorations

วิดีโอนี้สอนวิธีทำช็อกโกแลตแต่งหน้าเค้ก แบบมีลวดลายบนช็อกโกแลตค่ะ

โดยการละลาย ไวท์ช็อกโกแลต และ ดาร์กช็อกโกแลต วางไปบนถาดรองด้วยพลาสติกแรป ดิฉันใช้ถาด แล้วห่อด้วยพลาดสติกแรป ไม่ให้ติดและสามารถลอกออกได้ง่าย

ราดไวท์ช็อกโกแลตเป็นลวดลายตามชอบ ทิ้งไว้จนอยู่ตัว แล้วนำดาร์กช็อกโกแลตมาราดให้ทั่วแล้วปาดให้เป็นแผ่นบาง ๆทั่วถาดแล้วทิ้งไว้จนเย็น แต่ไม่ถึงกับแข็ง แล้วก็ตัดตามรูปที่ชอบ

วิธีชั่งตวงน้ำ

จากสูตรขนมปังที่ได้ลงไป ในสูตรจะมีน้ำ 150 กรัม ดิฉันไม่รู้ว่าเข้าชั่งตวงน้ำกันยังไง ปกติ อ่านเจอสูตรที่บอกของเหลวเป็นกรัม ด้วยความขี้เกียจหา ใจร้อนด้วยน่ะ ก็ชั่งด้วยกิโลซะงั้น (ทำไปได้)

วันนี้ก็ได้รู้ซะที พอดีมีคนใจดีร่วมแสดงความคิดเห็นเข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติม (ฮิๆๆ เค้าคงทนความบ๊องไปได้น่ะค่ะ ไปชั่งน้ำด้วยกิโล หุๆๆ) http://www.abuisraphil.blogspot.com/ แนะนำเกี่ยวกับการชั่งตวงน้ำ ก็เลยรีบนำมาลงเป็นความรู้ให้ผู้สนใจค่ะ

น้ำ 1000 กรัม = 1 ลิตร = 100 เซ็นติลิตร (cl)
พวกกระป๋อง Coke ปกติจะมีปริมาตร 33 cl

น้ำ 150 กรัม = 15 cl.

จะให้ได้น้ำ 15 cl ก็ทำโดยการเอาเทใส่กระป๋องโคกครึ่งกระป๋อง แล้วก็เททิ้งสามช้อนโต๊ะ

เค้กช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยช็อกโกแลตพลาสติก




ทางร้านอาหารของเพื่อนโทรมาบอกว่าต้องการเค้กด่วน มีคนจะจัดปาร์ตี้วันเกิดที่ร้าน ก็เลยต้องลงมือทำเค้กแต่เช้าเลย ก่อนที่จะนำเค้กไปส่งตอน 10 โมงเช้า วันนี้ทำเค้กช็อกโกแลตที่เคยลงไว้ ดูได้ที่นี่ค่ะ ส่วนมากก็จะทำสูตรเดิม ๆ เพราะเค้กที่นิยม ก็จะเป็นวนิลา และช็อกโกแลตเค้ก ดิฉันเลือกแต่งหน้าด้วยวิปครีม

ถ้าดูจากภาพ จะเห็นช็อกโกแลตเป็นรูปพัดอยู่ วันนี้ตั้งใจจะมาบอกวิธีทำช็อกโกแลตพลาสติก (chocolate plastic) หรือ Chocolate Clay
ส่วนผสมถ้าเป็นดาร์กช็อกโกแลต
10 oz ช็อกโกแลตกึ่งหวาน semi sweet chocolate chip หรือจะใช้แบบแท่งก็ได้แต่ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ละลายง่ายขึ้น
1/3 ถ้วย น้ำเชื่อมข้าวโพด (light Corn syrup)ดิฉันใช้น้ำผึ้งแบบกลิ่นดอกไม้ ชอบกลิ่นของน้ำผึ้งค่ะ ใช้ได้เหมือนกัน

วิธีทำ
1.ละลายช็อกโกแลต โดยใช้ หม้อใส่น้ำเล็กน้อย แล้ววางถ้วยทนความร้อนข้างบน โดยที่ก้นถ้วยไม่ถูกน้ำ หรือใช้หมอแบบ double boiler ดิฉันใช้แบบวิธีแรก ลูกทุ่งหน่อยแต่ใช้ได้เหมือนกัน
2.พอช็อกโกแลตละลายก็ ยกลง แล้วเติมน้ำเชื่อมลงไป หรือจะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำเชื่อมก็ได้ แต่ราคาจะสูงกว่า แล้วคนจนช็อกโกแลตเริ่มเกาะตัวจนเป็นก้อน ช็อกโกแลตจะมีลักษณะปั้นได้ แรปด้วยพลาสติก ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องจนเย็น ประมาณ 6 ชั่วโมง หรือข้ามคื้น
3.นำมานวดจนนุ่มลง หรือน้ำเข้าไมโครเวฟประมาณ10 วินาที เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วค่ะ แล้วก็ทำเป็นรูปตามที่ต้องการเลยค่ะ

จริง ๆแล้วดิฉันพักไว้พอเย็นไม่ได้ทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงตามสูตรหรอกค่ะ เพราะอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น พอเย็นปั้นได้ก็ลุยเลย ฮิๆ อยากให้ได้เรียนรู้สูตรจริง ๆก่อน แล้วปฏิบัติจริงๆ จะเป็นไงนั้นแล้วแต่วิธีการของแต่ละคนค่ะ

พอทำเสร็จดิฉันก็ห่อเก็บไว้ในตู้เย็น ไว้โดยแรปด้วยพลาสติก ช็อกโกแลตจะแข็งมาก เวลาจะใช้ก็นำเข้าไมโครเวฟซักประมาณ 10 วินาที ก็จะนุ่มและปั้นได้เหมือนเดิม

หากใครชอบสีสันให้ใช้สูตร ไวท์ช็อกโกแลต1 lb ไวท์ช็อกโกแลต (white chocolate)
1/2 ถ้วย น้ำเชื่อมข้าวโพด (light corn cyrup)
สีผสมอาหาร
วิธีการเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่เวลาใช้ นำมานวด แล้วเติมสีผสมอาหารลงไป นวดจนสีเข้ากับเนื้อช็อกโกแลต อย่าลืมสวมถุงมือก่อนนะค่ะ และถ้าต้องการให้มีหลาย ๆ สี ก็ตัดแบ่ง แล้วผสมสีด้วยวิธีการเดียวกัน แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนถุงมือเช่นกัน ไม่อย่างนั้นสีจะปนกันกลายเป็นสีแบบเน่า ๆ คือด้วยความขี้เกียจเจอมาแล้ว ฮิๆ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สูตรขนมปังไส้กรอกนุ่มๆ



วันนี้นึกอะไรไม่ออก ก็หาเรื่องอ้วนซะเลย พอดีนั่งเล่นเน็ตทั้งวันไปเจอสูตรขนมปังที่ช่วยให้วันนี้ทำขนมปังสำเร็จจนได้ กว่าจะได้อย่างนี้ก็ทุลักทุเลน่าดูเหมือนกัน

ก่อนที่จะแนะนำให้ปฏิบัติตาม ถ้าใครรู้ว่าเค้าชั่งน้ำ 150 กรัม ยังไงช่วยบอกด้วยแล้วกันค่ะ เพราะว่า ตามสูตรบอกว่ามีน้ำ 150 กรัม แต่ตัวเองไม่รู้ว่าน้ำตามที่บอกเนี่ยเค้าใช้ชั่งหรือว่ายังไงกัน ก็ไปชั่งกิโลซะงั้น ...

แล้วดูเหมือนว่าจะเยอะไปด้วยน่ะซิ

ลองดูสูตรต้นฉบับได้ที่

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=beebie&date=29-09-2005&group=2&gblog=8 (ขอบคุณคะ)


ตอนผสมส่วนผสมแห้งกับส่วนผสมของน้ำ แป้งเลยออกมาเหลวมาก ๆ ก็เลยแก้ด้วยการเติมแป้งเข้าไปเรื่อย ๆ แต่ไม่มากนะค่ะ ค่อย ๆเติมจนพอนวดแล้วติดมือนิด ๆ แต่ก็เริ่มนวล ก็เติมเนยสด แล้วนวดจนนวลไม่ติดมือ แป้งจะนิ่มมาก นวดจนกล้ามขึ้นเลยค่ะ คือใช้เวลานานนิดนึง

ทำความเข้าใจแล้วก็มาดูสูตรกันเลย

ขนมปังไส้กรอก

ส่วนผสม (อ่านคำแนะนำด้านบนก่อนนะค่ะ)
- แป้งขนมปัง 150 กรัม
- แป้งเค้ก 100 กรัม
- ยีสต์แห้ง 1 ช้อนชา หรือประมาณครึ่งซอง
- น้ำตาลทราย 35 กรัม
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- นมผง 20 กรัม
- น้ำอุ่น 150 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง ตีให้แตกแล้วแบ่งออกเล็กน้อยไว้สำหรับทาหน้าขนมปัง
- เนยสด 35 กรัม ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
- ไส้กรอกหรือฮอตด็อกที่ชอบ 10 ชิ้น

วิธีทำ
1. ร่อนแป้งเค้ก+แป้งขนมปัง+ยีสต์ และคอฟฟี่เมตเข้าด้วยกัน
2. ละลายน้ำอุ่น+น้ำตาล และเกลือ เข้าด้วยกัน เติมไข่ตีลงไป จากนั้นคนๆให้เข้ากัน เทลงไปในส่วนแป้ง นวดให้เข้ากัน
3. เติมเนยสดอ่อนตัว นวดต่อจนได้ที่คือสามารถขึงออกเป็นแผ่นฟิล์มบางๆได้ ใช้เวลานานนิดนึง แล้วแต่ใช้มือหรือใช้เครื่องค่ะ
4. เมื่อนวดได้ที่แล้วก็คลุมไว้ด้วยพลาสติกแรป พักแป้งไว้ให้ขึ้นเป็น 2 เท่า อากาศร้อนๆก็ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที ทดสอบได้โดยใช้นิ้วจิ้มลงไปแล้วโดคงรูปไม่เด้งขึ้นมาตามนิ้วก็ใช้ได้แล้วค่ะ
5. นำโดมาคลึงเป็นท่อนยาวๆ ตัดแบ่งน้ำหนักก้อนละประมาณ 50 กรัม 10 ก้อน คลุมไว้ด้วยผ้าชื้นๆหรือพลาสติกแรปก็ได้ค่ะ
6. นำโดมาคลึงให้เป็นเส้นยาว แล้วกดให้เป็นแผ่นหนา ๆ แล้วนำไปม้วนไส้กรอก จริง ๆตามสูตรเค้าใช้วิธีการ แผ่เป็นวงรีแบนๆ วางไส้กรอกและชีสลงไป ม้วนเก็บตะเข็บให้สนิท วางด้านตะเข็บลงบนถาดรองด้วย Baking Sheet หรือถ้าไม่มีใช้วิธีทาเนยขาวบางๆที่ก้นถาดก็ใช้ได้ค่ะ พักโดไว้อีกรอบโดยคลุมพลาสติกแรปไว้ประมาณ 30-60 นาที แล้วแต่สภาพอากาศค่ะ ถ้าร้อนก็ขึ้นเร็วหน่อย
7. พอพักแป้งใกล้ครบกำหนดก็ให้วอร์มเตาอบไว้ที่ 400 องศาฟาเรนไฮต์ คือประมาณ 200องศาเซลเซียส จากนั้นนำขนมปังมาทาหน้าด้วยไข่ไก่ตี ถ้าใครไม่ชอบสีเข้มก็หยอดน้ำลงไปในไข่นิดนึงก็ได้นะคะ ภาพที่เห็นไม่ได้ผสมน้ำเลย ทาเสร็จก็นำขนมปังเข้าอบประมาณ 8-10 นาทีก็ทานได้แล้วค่ะ สูตรนี้เป็นสูตรเล็กนะคะ ได้ขนมปังแค่ 10 ชิ้นค่ะ


ได้ขนมปังออกมานุ่มภูมิใจมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทำขนมปังนวดด้วยมือแล้วสำเร็จ อิๆ



วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Mini Berries Cheese Cake มินิเบอรี่ชีสเค้ก







วันนี้ต้องเตรียมอาหาร และขนมไว้สำหรับรับแขกพรุ่งนี้เช้า ก็เลือกทำชีสเค้ก ก็หาอะไรที่มีอยู่ในตู้เย็นแหละค่ะ คิดอะไรไม่ออก ชีสเค้กเลย ง่าย และก็ดูหรูดี
ใช้สูตรนิวยอร์กชีสเค้ก ได้มาจาก ลิงค์นี้ค่ะ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jjbd&month=23-11-2007&group=29&gblog=12

นิวยอร์คชีสเค้ก

ส่วนผสม
แครกเกอร์บดละเอียด 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
เนยละลาย 6 ช้อนโต๊ะ
ครีมชีส(8 ออนซ์) 2 ก้อน (อุณภูมิห้อง )
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
วิปปิ้งครีม 6 ช้อนโต๊ะ
ซาวด์ครีม 1/2 ถ้วย (ส่วนตัวใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทน)
ไข่ไก่ 2 ฟอง (อุณภูมิห้อง)
กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
ผิวเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ (ส่วนตัวตอนทำไม่ได้ใส่ผิวเลมอน เป็นมะนาวลูกเหลืองๆ มีแต่มะนาวเขียวเลยบีบน้ำใส่ไปแทน รสชาติใช้ได้เลยนะ ใส่ไป 1 ลูกค่ะ)

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 325 F
2. นำแครกเกอร์บดกับเนยละลายและน้ำตาลให้ชามผสม ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นนำไปกรุในพิมพ์ Spingfrom ขนาด 9 นิ้ว ที่เตรียมไว้แล้วพักไว้ก่อน
3. ตีครีมชีสกับน้ำตาลใช้ความเร็วต่ำให้เนียน จากนั้นใส่แป้ง แล้วใส่ไข่ลงไปทีละฟอง ตีผสมให้เข้ากันดี เติมวิปปิ้งครีม ซาวด์ครีม กลิ่นวานิลลาและผิวมะนาวตามลงไป ตีผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อครีมเนียนจากนั้นเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้
4. อบชีสเค้กในเตาอบเป็นเวลา 45-60 นาที เมื่ออบเสร็จให้ปิดเตาอบแล้วทิ้งเค้กใว้ในเตาอบประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อกันไม่ให้เค้กหน้าแตก แล้ววางให้เย็นในอุณหภูมิห้อง ประมาณ 2 ชั่วโมง จึงนำเข้าแช่ตู้เย็น อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเสริฟ เวลาจะเสิร์ฟก็ตกแต่ง ด้วย ซอสผลไม้ หรือ Topping อื่นๆ ตามชอบได้เลย

สูตรนี้ตามเจ้าของสูตรเค้าอบในพิมพ์ขนาด 9 นิ้ว ดิฉันดัดแปลงตามใจตัวเองอีกแล้วอ่ะค่ะ ก็ออกมาอย่างที่เห็น ใช้ได้เหมือนกันนะ
ส่วนท็อปปิ้งก็ใช้เบอรี่กระป๋องที่เค้าไว้แต่งหน้าเค้ก มาราดง่ายดี แล้วแต่งด้วยเบอรี่สดให้ดูหรูหราขึ้น..

สูตรลูกชุบ



ฝึกทำลูกชุบ ยังปั้นไม่สวย ก็ยังบังอาจเอามาให้ชาวบ้านดู สีก็ออกมาตลก แฮะๆๆ วันนี้รีบๆ ร้อนๆ ด้วยค่ะ เพราะพรุ่งนี้จะมีแขกมาบ้านแต่เช้าก็เลยต้องจัดเก็บเตรียมอาหารเตรียมขนมไว้ ก่อนจะลงมีทำอย่างอื่นก็คิดว่า ทำลูกชุบเล่นดีกว่า พอดีมีถั่วซีกอยู่ในตู้ ไปค้นเจอสูตรจาก ลิงค์นี้ค่ะ http://www.kruaklaibaan.com/forum/index.php?showtopic=7460

ส่วนผสม
◊ ถั่วเขียวเราะเปลือก ๔๐๐ กรัม
◊ กะทิกระป๋อง ๒ กระป๋อง
◊ น้ำตาลทราย ๓ ถ้วย
◊ วุ้นผง ๒ ช้อนชา
◊ น้ำลอยดอกมะลิ ๒ ถ้วย
◊ ไม้เสียบลูกชิ้น
◊ สีผสมอาหาร
◊ พู่กัน
◊ จานผสมสี

วิธีทำ

◊ ล้างถั่วซาวในน้ำเหมือนซาวข้าวให้สะอาด และแช่น้ำประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง นำถั่วที่แช่มานึ่งให้สุก สังเกตจากเม็ดถั่วจะบานๆออกมา
◊ กะทิ ๒ กระป๋อง ประมาณ ๔ ๑/๒ ถ้วย
◊ ผสมถั่วนึ่งสุก กับน้ำกะทิ แบ่งลงปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด
◊ ตั้งกระทะ ความจริงต้องใช้กระทะทอง แต่ไม่มี ก็ใช้เทฟล่อนแทนเอาค่ะ เทถั่วปั่นกับน้ำกะทิลงไป ตามด้วยน้ำตาลทรายทั้งหมด ตั้งไฟให้เดือด ในระหว่างนี้ต้องคนไปด้วยตลอดเวลา เดี๋ยวมันไหม้ที่ก้นค่ะ
◊ พอเริ่มเหนียวต้องเริ่มระวังมันจะกระเด็น เราจึงควรลดไฟซะหน่อย เคี่ยวไปจนกว่าแป้งจะแห้ง ร่อนไม่ติดกระทะ ต้องให้แห้งนะ ไม่งั้นเดี๋ยวปั้นไม่ได้ โมเมใช้เวลาทั้งหมด ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาทีค่ะ ปล่อยให้เย็น จนพอปั้นได้จึงนวดให้เข้ากัน ต่อจากนี้ก็สวมวิญญาณนักปั้นได้เลยค่ะ
◊ ในระหว่างปั้นควรหาอะไรคลุมแป้งไว้ด้วย เดี๋ยวแป้งแห้ง จากนั้นก็ลงมือระบายสี
◊ ระบายสีเสร็จก็เริ่มนำไปชุบวุ้น แนะนำให้เรียงลำดับไปทีละแถว เพราะเราต้องทำอย่างน้อย ๓ รอบ เมื่อจบแถวสุดท้าย แถวแรกก็แห้งพร้อมจะชุบรอบ ๒ ได้ ทำจนวุ้นเคลือบได้เงาหนาจนเราพอใจ

วิธีทำวุ้น

◊ ผสมวุ้นกับน้ำลอยดอกมะลิ ถ้าไม่มีใช้กลิ่นมะลิหยดเอาค่ะ ไม่เสียหาย แล้วคนให้เข้ากัน ตั้งไฟกลาง หมั่นคนตลอดเวลาจนกระทั่งวุ้นใสเป็นมัน เหนียวพอติดพาย ก็เป็นอันใช้ได้ ลดให้เหลือไฟอ่อน ถ้ามีฟองสีขาวลอยขึ้นมาอย่าตกใจ ก็ช้อนมันทิ้งไปซะ โมเมใช้วิธีอุ่นไว้ตลอดเวลา เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่จับตัวขนมให้สวย แต่ก็ห้ามให้ร้อนนะคะ บอกไม่ถูก ต้องคอยดู ถ้าเริ่มร้อนมากไปจะทำให้สีที่เราทาขนมไว้ ละลายออกมา ถ้าร้อนเกินไปก้อยกลงจากเตาก่อน พอจะเริ่มเย็นก็เอาไปอุ่นใหม่

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เค้กสองชั้นงานหมั้น









วันนี้อีกวันทั้งวันเลยที่นั่งบ้ากับเค้ก ได้ออกมาอย่างที่เห็นแหละค่ะ กว่าจะได้แถบแย่ เพราะงานชิ้นนี้ หลับหูหลับตารับ อากาศร้อนวันนี้แต่งหน้าเค้กยากมา เพราะเนยมันละลาย แต่ในที่สุดก็สำเร็จ เฮ้ย ...
จริง ๆ ก็แอบภูมิใจอยู่เหมือนกัน ทำได้ไงเนี่ย จริง ๆตัวเองไม่ได้ไปเรียนทำเค้กมาจากที่ไหนนะคะ แค่ดูวีดีโอจากยูธูบบ้าง เว็บโน้นบ้าง เว็บนี้บ้าง คิดว่าการศึกษาไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเสมอไป ถ้าตั้งใจจะรู้ก็แสวงหามัน ก็จะเจอแหละค่ะไม่ว่าเรื่องอะไร

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เค้กช็อกโกแลต,ช็อกโกแลตทรัฟเฟิล
















วันนี้ทั้งวันวุ่นอยู่กับการทำเค้ก ขนม พอดีวันเสาร์นี้วันหมั่นของเพื่อน เค้าก็เลยสั่งขนมเรา แหมกว่าจะได้ตังค์นี่ง่ายซะที่ไหน ถือซะว่าฝึกมือ อีกอย่างดีกว่าอยู่ว่าง ๆไปวัน ๆ เหนื่อยมากเลย นั่นปลอบใจตัวเองซะงั้น ว่าจะเอาสูตรลง ไม่ไหวพิมพ์แล้วอ่ะ ไว้วันหลังแล้วกัน ฮ้อยยยย... ง่วง


วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การแบ่งจิตของมนุษย์ ระดับที่ 4

ระดับที่สี่ เป็นระดับของจิตศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นของมนุษย์บางจำพวกที่ได้รับความกรุณาพิเศษจากพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ปุถุชนทั่วไปไม่สามารถยกระดับจิตของตนให้มาสู่ระดับนี้ได้ (นัฟซุลมุฎมะอินนะฮฺ) คือจิตสูงสุดระดับสุดท้ายของมนุษย์ทั่วไป

จิตในระดับที่สีหรือจิตที่มีญาณทัศนะ ระดับนี้ เรียกอีกอย่างว่า โลกุตตรจิต หรือ จิตเหนือโลก (over mind) เป็นจิตที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูง มีศักยภาพในการรองรับภารกิจใหญ่ๆ ที่มนุษย์คนอื่นไม่สามารถรับได้ โลกุตตรจิต เป็นระดับจิตที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถฝึกฝนจนบรรลุถึงได้ ยกเว้นมนุษย์บางจำพวกที่ได้รับความกรุณาพิเศษจากพระเจ้า เฉกเช่น ท่านเราะซูลลุลลอฮฺ (ซ็อล ฯ) หรือพระศาสดามุฮัมมัดนั่นเอง อัล-กุรอานกล่าวถึง ความหนักแน่นและความสูงส่งของจิตระดับนี้ว่า

لَوْ أَنزَلْنَا هَذَا الْقُرْآنَ عَلَى جَبَلٍ لَّرَأَيْتَهُ خَاشِعًا مُّتَصَدِّعًا مِّنْ خَشْيَةِ اللَّهِ وَتِلْكَ الْأَمْثَالُ نَضْرِبُهَا لِلنَّاسِ لَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ

หากเราประทานอัล-กุรอานลงมาบนภูเขา แน่นอน เจ้าจะเห็นภูเขานอบน้อม และแตกออกเป็นเสี่ยงเนื่องจากความกลัวต่ออัลลอฮฺ อุปมาเหล่านี้เราได้ยกมาเป็นอุทาหรณ์สำหรับมนุษย์ บางทีพวกเขาจะได้พิจารณาใคร่ครวญ (อัลฮัซรฺ / 21)

โองการบ่งบอกให้เห็นถึงความหนักแน่นแห่ง โลกกุตตรจิต ของท่านศาสดา ซึ่งมีความหนักแน่นยิ่งกว่าภูผา

จิตที่เหนือกว่าโลกุตตรจิตคือ จิตสุดยอด หรือ จิตสูงสุด ที่มิได้ดำรงอยู่ในเชิงโครงสร้างของจิต หรือในฐานะที่เป็นปลายทางของการยกระดับจิต แต่ จิตสุดยอด นี้ดำรงอยู่ในฐานะที่ “ค้ำจุน” ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล เอาไว้ จิตสุดยอด หรือ จิตสูงสุด นี้ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ธรรมจิต หรือจิตแห่งพระเจ้า หรือรูฮุลลอฮฺ นั่นเอง ซึ่งไม่มีจิตใดหรือสิ่งใดสูงส่งไปกว่าพระองค์ ดังที่กล่าวว่า ลาอิลาฮะ อิลลาฮุ หรือ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮฺ)

โลกุตตรจิต คือตัวแทนของ จิตสุดยอด ที่ปรากฏแก่มนุษย์ปุถุชนผู้ยังไม่รู้ และยังไม่บรรลุในฐานะที่เป็น “ธรรมะ”

จิตสุดยอด สัมพันธ์และเข้ากระทำต่อ โลกของปุถุชน โดยผ่าน โลกุตตรจิต เพราะปุถุชนไม่อาจทนทานต่อการรับพลังโดยตรงจาก จิตสุดยอด หรือ จิตสูงสุด ที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์พันดวงได้ จิตสูงสุด จึงต้องเข้ากระทำโดยผ่านการกลั่นกรองจาก โลกุตตรจิต เสียก่อน มนุษย์ปุถุชนสามารถรับ “พลัง” เพื่อกระตุ้นให้เกิดพลวัตแห่งวิวัฒนาการทางจิตได้ โดยการปฏิบัติธรรมการเจริญสมาธิภาวนา และการบำเพ็ญเพียรทางจิตอย่างบูรณาการ ซึ่งจะไปพัฒนาศักยภาพทางจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนอีกทีหนึ่ง

ศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวเสมอว่า มนุษย์ที่ปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนาและบำเพ็ญเพียรทางจิตจะสามารถยกระดับจิตไปสู่การมี จิตศักดิ์สิทธิ์ได้

การแบ่งจิตของมนุษย์ ระดับที่ 3

ระดับที่สาม เป็นระดับของจิตศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก โดยเป็นกระบวนการที่พัฒนาต่อมาจากระดับ จิตใจกระจ่างแจ้ง ระดับนี้ เรียกว่า การมี ญาณทัสนะ จิตที่มี ญาณทัสนะ เป็นผลมาจากการที่จิตสำนึกของผู้นั้น สามารถเข้าถึงและเชื่อมต่อกับมิติขั้นสูงจนสามารถได้รับความรู้และข่าวสารจาก ภูมิปัญญาอมตะ ได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับจิตในระดับ จิตใจสูงส่ง และ จิตใจกระจ่างแจ้ง

จิตในระดับที่มี ญาณทัสนะ นี้ จึงสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพให้แก่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” หรือพระผู้เป็นเจ้าได้ แม้จะยังไม่ใช่เครื่องมือที่ดีที่สุดก็ตาม อนึ่ง จิตที่มีญาณทัสนะ เป็นจิตที่มีพลังพิเศษอยู่ 4 ประการคือ

พลัง ในการเห็นความจริงหรือสัจธรรมหรือที่เรียกว่า อิลมุลยะกีน
พลัง ในการได้รับแรงบันดาลใจหรือการดลจากพระเจ้าในบางครั้ง หรือที่เรียกว่า การอิลฮาม นั่นเอง
พลัง ในการเข้าใจความหมายของเรื่องราวได้โดยพลัน หรือในปรัชญาอิสลามเรียกว่า อัลอิลมุล ฮุฎูรี เป็นภาพหรือแก่นแห่งวิชาการที่ปรากฏขึ้นเองโดยปราศจากการเรียนรู้ หรือได้รับการถ่ายทอดจากผู้ใด หากแต่เป็นผลพวงที่เกิดจากการฝึกฝนตนเองไปตามระดับขั้น ยิ่งออกห่างจากความผิดหรือบาปกรรมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใกล้สัจธรรมความจริงมากเท่านั้นหรือเรียกอีกอย่างว่า อัยนุลยะกีน
อัล-กุรอาน สำทับเรื่องนี้ว่า สูเจ้าจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ แล้วพระองค์จะสอนทุกสิ่งแก่เจ้าاتقو الله يعلم كم الله ยังจะมีผู้ใดที่สามารถสอนสั่งวิชาการการได้ดีเยี่ยมไปกว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) อีก ขณะที่พระองค์ทรงเป็น อะลีม อะลากุลลิชัย ความรอบรู้ของพระองค์กับซาต (อาตมัน) ของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่ความรู้ของเรากับซาต (ตัวตน) ของเรามิได้เป็นหนึ่งเดียวกัน
พลัง ในการเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อน หรือที่เรียกว่า การมองเห็นทุกสิ่งด้วยตาใจ ไม่ใช่ตาเนื้อ หรือมองเห็นทุกสิ่งด้วยตาปัญญา มิใช่ตาแห่งผัสสะ ซึ่งเรียกพลังในส่วนนี้ว่า ฮักกุลยะกีน หมายถึงมองเห็นสัจธรรมทุกประการของทุกสรรพสิ่ง
การที่เขาสรรสร้างความดีเนื่องจากมองเห็นสัจธรรมแห่งความดีงามนั้น และการที่เขาหลีกเลียงไม่กระทำบาปหรือความผิดทั้งปวง เนื่องจากมองเห็นสัจธรรมแห่งความชั่วนั้นนั่นเอง

ดังที่ ท่านอะลี แบ่งการอิบาดะฮฺ ของปวงบ่าวไว้ 3 ประเภท กล่าวคือ การอิบาะฮฺของพ่อค้า การอิบาดะฮฺของทาส และการอิบาดะฮฺของบ่าวผู้เป็นอิสระ ซึ่งการอิบาดะฮฺของบ่าวอิสระหมายถึง ไม่ว่าพระองค์จะให้รางวัลตอบแทนหรือไม่ ข้าพระองค์ก็ขออิบาดะฮฺต่อพระองค์ เนื่องจากความรักและความคู่ควรในการเป็นพระเจ้าของพระองค์ หรือแม้แต่พระองค์จะไม่หลงโทษผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง ข้าพระองค์ก็ขออิบาดะฮฺต่อพระองค์อยู่ดี เนื่องจากเหตุผลเดียวกัน

ดังนั้น จิตในระดับที่สามนี้เรียกว่า (นัฟซุลมุฎเฎาะมะอินนะฮฺ) เป็นจิตที่สงบมั่น ณ พระผู้เป็นเจ้า เป็นจิตที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรักและเรียกร้องให้กลับคืนสู่พระองค์ตลอดเวลา ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า

أَيَّتُهَا النَّفْسُ الْمُطْمَئِنَّةُ ارْجِعِي إِلَى رَبِّكِ رَاضِيَةً مَّرْضِيَّةً . فَادْخُلِي فِي عِبَادِي وَادْخُلِي جَنَّتِي

โอ้ ดวงชีวิตที่สงบมั่นเอ๋ย จงกลับมายังพระผู้อภิบาลของเจ้า ขณะที่เจ้ามีความยินดี (ในพระองค์) และเป็นที่ปิติ (ของพระองค์) ฉะนั้น จงเข้ามาอยู่ในหมู่ปวงบ่าวของข้าเถิด. และจงเข้ามาอยู่ในสรวงสวรรค์ของข้าเถิด

การแบ่งจิตของมนุษย์ ระดับที่ 2

ระดับที่สอง เป็นระดับ ที่สูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก โดยเป็นกระบวนการที่พัฒนาต่อมาจากระดับ จิตใจสูงส่ง ระดับนี้ โดยหลักการเรียกว่าการมีจิตใจกระจ่างแจ้ง หรือนัฟซุลเลาวามะฮฺ
ความแตกต่างระหว่างจิตระดับที่หนึ่งกับที่สองนั้นคือ

ในขณะที่ จิตใจสูงส่ง เป็น ใจที่มีความคิดสูงส่ง แต่ จิตใจกระจ่างแจ้ง กลับเป็น จิตใจที่สว่างแจ้งทางจิตวิญญาณ จิตใจกระจ่างแจ้งนี้มิได้ทำงานด้วยความคิด แต่ทำงานด้วย นิมิต ที่ผุดขึ้นมาในจิตใจของผู้นั้นอย่างเป็นไปเอง ความคิด ในจิตใจระดับนี้ทำหน้าที่แค่เป็นผู้ช่วยตัวหนึ่งในการแสดงออกซึ่ง ความปราดเปรื่อง ของคนผู้นั้นเท่านั้น

ขณะที่จิตใจของสามัญชนอาจจะพึ่งพาความคิดเป็นหลัก และหลงผิดคิดว่าความคิดเป็นกระบวนการสูงสุด หรือกระบวนการหลักในการเข้าถึงความรู้ แต่ในจิตใจระดับนี้ ความคิด กลับเป็นเรื่องรองๆ เมื่อเทียบกับ ความสว่างแจ้ง และ ความปราดเปรื่อง ในการเข้าถึงความรู้ของคนผู้นั้น หรือเรียกอีกอย่างว่า จิตที่ได้รับทางนำหรือการชี้นำพิเศษจากพระเจ้า แต่ก็มิได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับ ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและความประพฤติของเขา

เรื่องของจิต การแบ่งจิตของมนุษย์ ระดับที่1

เรื่องเกี่ยวกับจิต การรู้จักตัวเอง การพัฒนาตัวเอง เป็นเรื่องที่ดิฉันสนใจอยู่มาก เมื่อไปอ่านเจอบทความในลักษณะนี้ก็จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ก็เลยเอามาเก็บไว้ในบล็อกของตัวเอง ให้ผู้ติดตามที่สนใจได้ศึกษาค้นคว้า หวังว่าคงเป็นประโยชน์

ตามหลักการอิสลามได้แบ่งจิตออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ จิตระดับสามัญ หรือที่เรียกว่า นัฟซุลอัมมาเราะฮฺ จิตกระจ่างแจ้ง หรือนัฟซุลเลาวามะฮฺ และจิตที่มี ญาณทัสนะ หรือเรียกว่า นัฟซุลมุฎเฎาะมะอินนะฮฺ

จิตใจสามัญ เป็นจิตระดับต้นสุดหรือระดับแรกสุด ระดับนี้ ในระดับนี้เจ้าของจิตคือมนุษย์สามารถพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไปได้ เรียกว่าการมี จิตใจสูงส่ง ซึ่งจะแตกต่างไปจากจิตสามัญทั่วๆ ไปที่ไม่มีการพัฒนาให้สูงขึ้นเป็นจิตระดับต่ำ ที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากสิ่งถูกสร้างระดับต่ำ เช่น บรรดาปศุสัตว์ทั้งหลาย จิตระดับนี้ยังคิดไม่ลึกซึ้ง หรือไม่ไกล แต่ถ้าในบางครั้งคิดไกลไปนิดก็มิได้เพื่อใคร แต่เพื่อตนเอง และครอบครัว ยังมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง จิตระดับนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับการเสพสุขทางโลกเยี่ยงสรรพสัตว์อื่นๆ ทั้งที่เป็นกามรม กิเลส และตัณหา ยังกระทำทุกอย่างเพื่อสนองตอบอำนาจใฝ่ต่ำของตน หรือเรียกว่าจิตฟุ้งซ่านไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีความสงบ

แต่ถ้าจิตระดับสามัญ (หรือนัฟซุลอัมมาเราะฮฺ) มีการคิดบ้างก็จะกลายเป็นจิตสูง ดังนั้น กระบวนการคิดของผู้มีจิตใจสูงส่งนั้น แตกต่างจากผู้มี จิตใจสามัญ เป็นอย่างมาก เพราะในขณะที่ จิตสามัญ พึ่งพา “ความรู้” ของตนที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์จากผัสสะทั้งห้าอันจำกัดเท่านั้น แต่ จิตใจสูงส่ง และ จิตศักดิ์สิทธิ์ ในระดับที่สูงกว่านั้น มิได้พึ่งพาอยู่แค่แหล่งความรู้อันจำกัดเหล่านั้นเหมือนอย่าง จิตใจสามัญ แต่ยังสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบ อย่างเห็นองค์รวม อย่างเห็นภาพรวมภาพเดียว โดยสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเรื่องราวต่างๆ ที่ซับซ้อนและเข้าใจภาพรวมได้

จิตใจสูงส่ง จึงมิได้ใช้แค่ตรรกะเหตุผลล้วนๆ ในการมองเหตุการณ์และสรรพสิ่ง แต่ยังใช้ ตรรกะร่วมกับสัมผัสพิเศษ อันละเอียดอ่อนในการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วย โดยที่สัมผัสพิเศษนี้ทำให้สามารถได้รับความคิดใหม่ๆ หรือความรู้ใหม่ๆ ซึ่งมีแหล่างที่มาจาก “ภูมิปัญญาอมตะ” ที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไป เพียงแต่ยังได้รับแค่เป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น

การยกระดับจาก จิตใจสามัญ ไปสู่ จิตใจสูงส่ง โดยผ่านการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา และการบำเพ็ญเพียรทางจิตอย่างบูรณาการจึงเป็นก้าวแรกของการก้าวไปสู่จิตศักดิ์สิทธิ์ (นัฟซุลมุฎเฎาะมะอินนะฮฺ)

บทความดี ๆ มีมาฝากผู้ศรัทธา (แนวทางที่ถูกต้อง)

ไปอ่านเจอบทความนี้จากบล็อกเกอร์ www.abuisraphil.blogspot.com อ่านแล้วก็อดที่จะนำมาเผยแพร่ไม่ได้ รู้สึกว่าสำหรับตัวเองบทว่านี้โดนสุด ๆ ไม่รู้ว่าใช้คำว่าอะไร เรียกว่าโดนสุด ๆ แล้วกันค่ะ

อยากให้เป็นข้อเตือนใจ แก่ผู้ขัดเกลาตนเอง ผู้รักดี ผู้แสวงหาแนวทางที่ถูกต้อง ให้ใช้บทความนี้เตือนใจ น่าจะช่วยได้เยอะเลยทีเดียว

ท่านนบีกล่าวว่า
"วาทะที่ประเสริฐยิ่งคือพระดำรัสของอัลลอหฺ
สายเชือกที่แข่งแกร่งที่สุดคือการยำเกรงต่ออัลลอหฺ
หนทางที่แข็งแกร่งที่สุดคือการตัดขาดจากโลก
ศาสนาที่ประเสริฐที่สุดคือศาสนาแห่งอิบรอฮีม
และแนวทางที่ประเสริฐที่สุดคือแนวทางของมุฮัมมัด
การพูดที่ประเสริฐที่สุดคือการรำลึกถีงอัลลอหฺ
กิจการที่ประเสริฐที่สุดคือจุดจบของมัน
ความเลวร้ายที่สุดของกิจการศาสนาคือการอุตริของมัน
ทางนำที่ประเสริฐที่สุดคือทางนำของเหล่านบี
แล้วการถูกสังหารที่ประเสริฐที่สุดคือการถูกสังหารของเหล่ามรณสักขี
ความหลงผิดที่เลวร้ายยิ่งคือความหลงผิดหลังจากทางนำ
และทางนำที่ประเสริฐที่สุดคือทางนำของที่ถูกปฏิบัติ
และความมืดบอดที่เลวร้ายที่สุดคือความมืดบอดของจิตใจ
มือ(ผู้ให้)ที่อยู่บน ประเสริฐกว่ามือ(ผู้รับ)ที่อยู่เบื้องล่าง
การเสียใจที่เลวร้ายที่สุดคือการเสียใจในวันฟื้นคืนชีพ เพราะจะไม่มีการให้อภัย และไม่มีการยกโทษ
ผู้คนที่เลวร้ายที่สุดคือพวกที่เข้าหาพรรคพวกด้านหลัง (หักหลังหรือพูดลับหลัง)
ความร่ำรวยที่ประเสริฐที่สุดคือความร่ำรวยของใจ
หัวของปัญญาคือความยำเกรงต่ออัลลอหฺ
การร้องไห้โวยวายเป็นการกระทำของอานารยสมัย
การหลอกลวงเป็นถ่านแห่งไฟนรก
บทกวีเป็นบทสรรเสริญของชัยฏอน
สุราเป็นสิ่งรวบรวมความชั่วทั้งมวล
สตรีเป็นบ่วงบาศก์ของชัยฏอน
ความเยาว์วัยเป็นความบ้าสาขาหนึ่ง
การทำมาหากินที่เลวร้ายคือการทำมาหากินกับการผิดประเวณี
การกินที่เลวร้ายที่สุดคือการกินทรัพย์สินของลูกลูกกำพร้า
คนโชคดีคือผู้ที่รับบทเรียนจากคนอื่น
คนโชคร้ายคือผู้โชคร้ายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
สิ่งใดที่จะมามันก็ใกล้ทั้งนั้น
ความดีมีมากมาย แต่คนที่จะทำความดีมีน้อย
การรู้สึกเพียงพอคือทรัพย์ที่ไม่มีวันสิ้น
พวกเธอที่ประเสริฐที่สุดคือผู้ที่มีอายุยืนและมีผลงานที่ดี
การมีคุณสมบัติดีงามเป็นความจำเริญ
การเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างญาติจะเพิ่มพูนทรัพย์สิน และผ่อนผันอายุให้ยืนยาว
การด่าทอศรัทธาชนเป็นการละเมิด การสังหารศรัทธาชนเป็นการปฏิเสธศรัทธา และทรัพย์สินของเขาเป็นที่ต้องห้ามเช่นเดียวกับโลหิตของเขา"

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชวนทำเค้กวนิลาแสนอร่อย









เนื่องจากได้อ้อเดอร์เค้กวันเกิด ก็เลยมีเค้กมาอวดอีกแล้วค่า.. ไม่อวดอย่างเดียวมีสูตรเค้กวนิลามาฝากด้วย สูตรนี้ทำไม่ยากเลย จะยากก็ตอนแต่งหน้าแหละค่ะ


ถ้าดูในภาพหน้าเค้กไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่เพราะแต่งด้วยครีมสด แต่งยากกว่าบัตเตอร์ครีมค่ะ แต่ว่าอร่อยกว่าบัตเตอร์ครีม (ความเห็นส่วนตัว) อีกอย่างวันนี้อากาศขมุกขมัยยังไงไม่ทราบ อารมณ์ก็เลยบูด ๆ ตามไปด้วยอ่ะ หน้าตาเค้กยังสวยไม่ถูกใจ แต่รับรองว่ารสดีค่ะ
มาดูส่วนผสมกันเลย
แป้งเค้ก 1 3/4 ถ้วย 175 กรัม
ผงฟู 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย (1) 1/2 ถ้วย หรือ 100 กรัม
เกลือ หยิบมือค่ะ หรือประมาณ 1/4 ช้อนชา
ไข่แดง 3 ฟอง
ไข่ขาว 3 ฟอง
น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
น้ำ 1/2 ถ้วย
กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย (2) 1/4 ถ้วย หรือ 50 กรัม
แนะนำก่อนลงมือทำซักหน่อย
น้ำตาลทรายควรใช้น้ำตาลทรายเนื้อละเอียดนะค่ะ จะได้เนื้อเค้กดี ละเอียด
วิธีทำ
1. เตรียมเตาอบ 180 C เตรียมพิมพ์เค้ก ด้วยการทาเนยที่พิมพ์แล้วตัดกระดาษไขรองพื้นพิมพ์ แล้วทาเนยบนกระดาษไขอีกที
2. ร่อนแป้งกับผงฟู และน้ำตาลให้เข้ากัน
3. แยกไข่ขาว และไข่แดง
4. ผสมไข่แดง น้ำ, น้ำมัน กลิ่นวนิลา ดีพอเข้ากัน
5. เทลงในส่วนผสมของแป้ง คนพอเข้ากันนะค่ะ อย่าคนมากเกินไป จะเป็นการสร้างตัวของกลูเตนทำให้เค้กมีเนื้อเหนียว พักแล้ว
6. ตีไข่ขาว พอขึ้นนวล แล้วค่อย เติมน้ำตาลทราย 2 ลงไปทีละน้อย อย่าเติมทีเดียวหมดนะค่ะจำทำให้ไข่ขาวยุบตัว เค้กจะไม่ฟูสวย
7. ตักไข่ขาวประมาณ 1/3 ส่วน ใช้พายยาง คนให้เข้ากับส่วนผสมของแป้ง แล้วจึงตักส่วนที่เหลือ ผสมพอเข้ากัน
8. เทใส่พิมพ์แล้วนำเข้าเตาอบประมาณเออกี่นาทีจำไม่ได้อ่ะค่ะ เอาเป็นว่าพอสุก ทดสอบว่าเค้กสุกด้วยการใช้ไม้จิ้มลงไปตรงกลางเค้ก ถ้าไม้แห้งไม่มีเนื้อเค้กติดออกมาเป็นอันว่าใช้ได้ค่ะ
ก่อนนำมาแต่งหน้าให้พักไว้ให้เย็น แล้วแต่งหน้าตามต้องการค่ะ
ภาพที่เห็นแต่งหน้าด้วยครีมสด
ส่วนผสม
ครีมสด (double cream)
น้ำตาลทราย
นำทั้งสองอย่างตีให้เข้ากันจนขึ้นฟู แล้วนำมาแต่งหน้าหรือสอดไส้เค้กตามต้องการค่ะ
ทีเหลือก็ ให้อารมณ์ศิลปินในตัวช่วยได้เลย ไม่ยากมีผลไม้อะไรก็ใส่เข้าไปตามชอบเลยค่า ดิฉันจะใส่สตอเบอรี่เป็นส่วนใหญ่เนื่อจาก จะมีติดตู้เย็นอยู่เสมอ อีกอย่างเวลาใช้แต่งหน้าเค้กแล้วดูสวยน่ารักดี...

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สอนทำช็อกโกแลตแต่งหน้าเค้กอย่างง่าย

วีดีโอนี้สาธิตวิธีทำช็อกโกแลตแต่งแหน้าเค้ก
อุปกรณ์ มีช็อกโกแลต จะเป็น ดาร์กช็อกโกแลต หรือช็อกโกแลตนม หรือจะเป็นไวท์ช็อกโกแลตก็ได้ค่ะ
ถุงบีบ
กระดาษไขรองเค้ก

ละลายช็อกโกแลตโดยการ ใช้หม้อแบบดับเบิ้ลบอยเลอร์ หรือจะใช้ หม้อใบเล็กตั้งน้ำร้อน แล้วใช้ถ้วยทนความร้อนตั้งข้างบนปากหม้อ โดยที่ก้นถ้วยไม่ถูกน้ำ
หั่นช็อกโกแลตเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วใส่ลงในถ้วย ทิ้งไว้ให้ละลายคนไปเรื่อย ๆ พอละลายก็ยกลงค่ะ
จากนั้นนำมาใส่ถุงบีบ อาจจะทำขึ้นเองโดยใช้กระดาษไขทำเป็นรูปกรวย หรือเคยเห็นบางคน ใส่ในถุงพลาสติกใส่ตัดมุมก้นถุง ก็ได้เหมือนกันค่ะ แล้วก็ทำตามวิธีที่เชฟสอนได้เล้ย...